วันพุธ, กันยายน 12, 2555

ซะมูไร น่าสนใจไม่เบานะ


ซะมุไร (ญี่ปุ่น: 侍, ภาษาไทยนิยมทับศัพท์ว่า "ซามูไร" ?) แปลเป็นภาษาไทยว่าทหาร คำว่า ซะมุไร มีต้นกำเนิดจากคำว่า ซะบุระอุ ซึ่งเป็นคำกริยาในภาษาญี่ปุ่นโบราณ ที่มีความหมายว่า รับใช้ ฉะนั้น ซะมุไรก็คือคนรับใช้นั่นเอง

จุดกำเนิด
เป็นที่เชื่อกันว่า รูปแบบของเหล่านักรบบนหลังม้า มือธนู และทหารเดินเท้าในช่วงศตวรรษที่ 6น่าจะเป็นตัวบทต้นแบบของซะมุไรดั้งเดิม ขณะที่จุดกำเนิดของซะมุไรสมัยใหม่ยังเป็นปัญหาที่โต้เถียงกัน


วัฒนธรรมซะมุไร
การศึกษา
ผู้ที่เป็นซะมุไรต่างได้รับการคาดหวังว่าจะต้องเป็นคนที่สามารถอ่านออกเขียนได้ พร้อมกับต้องมีความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ด้วย นอกจากนั้น ยังได้รับความคาดหวังว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีความสนใจในศิลปะด้านอื่น ๆ อย่างเช่น การเต้นรำ การเล่นโกะ งานวรรณกรรม บทกวี และชา เป็นต้น ถึงแม้ว่าศิลปะเหล่านี้ไม่ได้จำเป็นต่อพวกเขาเลยก็ตาม
แต่ในประวัติศาสตร์ ซะมุไรผู้ที่มีชื่อเสียงหลายคนก็ไม่ได้มีคุณสมบัติตามวุฒิการศึกษาที่กล่าวไว้ข้างต้น ตัวอย่างเช่น โทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ ซะมุไรผู้ยิ่งใหญ่ที่มีพื้นเพเป็นชาวนา ก็มีอุปสรรคสำคัญอยู่ตรงที่เขาสามารถอ่านและเขียนได้แต่ภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ตัวอักษรฮิรางานะเท่านั้น อีกผู้หนึ่งคือ โอดะ โดกัง บุคคลผู้ที่ปกครองเอะโดะเป็นคนแรก ก็เคยเขียนระบายความในใจของเขาว่า เขาละอายใจเหลือเกินที่ได้พบว่า แม้แต่ประชาชนธรรมดายังมีความรู้ทางด้านการกวีมากกว่าตัวเขาเอง ทำให้เขารู้สึกอัปยศจนต้องยอมสละสมบัติและตำแหน่งของเขาไปในที่สุด

ประเพณีชุโด


ชุโด (ญี่ปุ่น: 衆道 ?) คือ ประเพณีแห่งสายใยรักที่เกิดขึ้นระหว่างซะมุไรผู้แก่กล้าวิชากับซะมุไรที่ยังไร้ประสบการณ์ ที่เปรียบได้ดัง “ดอกไม้แห่งจิตวิญญาณของซะมุไร” ที่ได้ก่อร่างสร้างพื้นฐานที่แท้จริงของลัทธิความงามของผู้ที่เป็นซะมุไรขึ้นมา ประเพณีนี้มีความคล้ายคลึงกับประเพณีของกรีกโบราณที่ชายวัยผู้ใหญ่มักจะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเด็กผู้ชาย
สำหรับสังคมซะมุไร นี่ถือว่าเป็นประเพณีที่มีเกียรติ เป็นการปฏิบัติที่สำคัญ และเป็นเส้นทางสายหลักที่จะสืบทอดความคิด คุณค่า จิตวิญญาณ และทักษะแห่งประเพณีซะมุไร จากรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นต่อ ๆ ไปได้
อีกชื่อหนึ่งของประเพณีนี้คือ บิโด (ญี่ปุ่น: 美道 ?) (วิถีแห่งความงาม) เป็นประเพณีที่เชื่อว่า ความรักอันหนักแน่นที่ซะมุไรสองคนมีให้แก่กันนั้น เป็นสิ่งที่เกือบจะยิ่งใหญ่เท่ากับความรักแบบเดียวกันที่มีให้แก่ไดเมียว จากข้อมูลในบทบันทึกร่วมสมัยฉบับหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า ทางเลือกระหว่างความรักที่มีต่อซะมุไรอีกคน กับ เจ้านายของเขาเอง สามารถกลายมาเป็นปัญหาทางปรัชญาสำหรับซะมุไรได้
ในตำราฮะงะกุเระและคู่มือสำหรับซะมุไรฉบับอื่น ๆ ได้ให้คำสอนที่เจาะจงไปที่วิถีของประเพณีเช่นนี้ว่า เป็นสิ่งที่ซะมุไรควรจะต้องทำตามและให้ความเคารพ
หลังจากที่เกิดการปฏิรูปสมัยเมจิและการเข้ามาของแบบแผนการดำเนินชีวิตของตะวันตก การหลงใหลในความงามของผู้ชายก็ถูกแทนที่โดยความหลงใหลในเพศหญิงตามแบบยุโรปแทน นี่จึงเป็นจุดจบของประเพณีชุโดไปในที่สุด

ปรัชญา
หลักปรัชญาของศาสนาพุทธนิกายเซน บวกกับบางส่วนของลัทธิขงจื๊อ มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมซะมุไรได้ดีพอ ๆ กับลัทธิชินโต
นิกายเซนได้กลายเป็นหลักคำสอนสำคัญในเรื่องของวิธีการที่ทำให้จิตสงบ
ฐานคติของพุทธในเรื่องการกลับชาติมาเกิด ก็นำซะมุไรไปสู่การละเลิกการทรมานและการฆ่าฟันอย่างไร้เหตุผล ฐานคตินี้มีอิทธิพลมากจนซะมุไรบางคนถึงกับยอมเลิกใช้ความรุนแรง และบวชเป็นพระสงฆ์หลังจากที่ตระหนักว่าการฆ่าฟันไม่ได้ส่งผลดีอย่างไร ขณะที่ซะมุไรบางคนตระหนักถึงเรื่องเช่นนี้ได้ตอนที่อยูในสมรภูมิจริง จนเป็นเหตุให้เขาต้องถูกฆ่าตาย ณ ที่นั้นก็มี
ส่วนบทบาทของลัทธิขงจื๊อที่มีผลต่อวัฒนธรรมซะมุไรก็คือ การเน้นความสำคัญในการรักษาความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้ปกครองให้ได้ ซึ่งนี่คือความจงรักภักดีที่ซะมุไรต้องการจะแสดงต่อเจ้านายของเขา
บูชิโดคือ “ประมวลหลักการปฏิบัติ” ที่ติดตัวซะมุไรทุก ๆ คน หลักนี้เริ่มบังคับใช้ในสมัยเอโดะ โดยรัฐบาลโชกุนโทกึงาวะ เพื่อพวกเขาจะได้ควบคุมเหล่าซะมุไรได้ง่ายขึ้น
แต่เหตุการณ์ของ “กลุ่มโรนิงทั้ง 47” ก็ทำให้เกิดการโต้เถียงกันเกี่ยวกับประเด็นความถูกต้องของหลักปฏิบัติของซะมุไร และประเด็นที่ว่าหลักบูชิโดควรจะประยุกต์ใช้ได้อย่างไร เนื่องจากซะมุไรซึ่งกลายเป็นโรนิงทั้ง 47 คนนี้ไม่ได้ให้ความเคารพต่อโชกุนซึ่งเป็นผู้ปกครองของพวกเขา แต่ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะความภักดีและความซื่อสัตย์ที่มีต่อนายเก่าของพวกเขาเอง ผลสุดท้าย การกระทำของพวกเขาถูกตัดสินว่าเป็นการกระทำที่แสดงออกถึงความซื่อสัตย์ แต่ไม่เป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีต่อโชกุน นี่จึงเป็นเหตุให้พวกเขาทั้ง 47 คนต้องถูกฆาตกรรมด้วยการสำนึกผิดและสิทธิในการคว้านท้องฆ่าตัวตาย

อาวุธ
อาวุธที่ซะมุไรใช้มีอยู่หลายชนิด แต่ดาบคะตะนะก็ไม่ได้เป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของซะมุไร เพราะว่าซะมุไรไม่สามารถนำคะตะนะติดตัวเข้าไปในบางสถานที่ได้ วะกิซะชิ คือ อาวุธติดตัวซะมุไรที่สำคัญที่สุด หลักบูชิโดได้สอนว่าจิตวิญญาณของซะมุไรก็คือคะตะนะของพวกเขาแต่ละคน และบางครั้งซะมุไรก็ถูกจินตานาการให้ต้องพึ่งพาคะตะนะเพื่อการต่อสู้ด้วย แนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับหน้าไม้ของยุโรป หรือดาบของอัศวินที่ส่วนใหญ่ใช้เป็นแค่เครื่องมือในการต่อสู้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ดาบคะตะนะมักจะไม่ถูกนำมาใช้เป็นอาวุธในสมรภูมิกัน จนกระทั่งยุคคะมะกุระ ตัวดาบคะตะนะเองก็ยังไม่ได้เป็นอาวุธหลักจนกระทั่งเกิดยุคเอโดะขึ้นมา

หลังจากที่บุตรชายของซะมุไรได้ถือกำเนิดขึ้น เขาจะได้รับดาบเล่มแรกของเขาในพิธีฉลองที่เรียกว่า มะโมะริ-คะตะนะ อย่างไรก็ตาม ดาบที่ให้ไปเป็นเพียงแค่ดาบเครื่องรางเท่านั้น โดยจะห่อหุ้มด้วยไหมยกดอกเงินหรือทองเพื่อที่จะให้เด็กอายุไม่เกินห้าขวบพกเอาไว้ในกระเป๋าสตางค์ได้ เมื่อถึงอายุสิบสามปี ในพิธีฉลองที่เรียกว่า เก็มบุกุ (ญี่ปุ่น: 元服 Gembuku ?) บุตรชายจะได้รับดาบจริงเล่มแรกพร้อมกับชุดเกราะ ชื่อในวัยผู้ใหญ่ และกลายเป็นซะมุไรในที่สุด ดาบคะตะนะและวะกิซะชิเมื่อใช้ร่วมกันแล้วจะเรียกว่าไดโช (แปลตามตัวอักษรว่า “ใหญ่กับเล็ก”)
วะกิซะชิ คือ “ดาบแห่งเกียรติยศ” ของซะมุไร ซะมุไรจะไม่ยอมให้มันหลุดจากข้างกายโดยเด็ดขาด มันจะต้องติดตัวพวกเขาไปตอนที่พวกเขาเข้าบ้านคนอื่น (แต่ต้องทิ้งอาวุธหลักเอาไว้ข้างนอก) ยามนอนก็ต้องมีมันอยู่ใต้หมอนด้วย
ทันโตะ คือ ดาบสั้นเล่มเล็กที่มักจะใส่คู่กับวะกิซะชิในไดโช ทันโตะหรือไม่ก็วะกิซะชินี่เองที่จะถูกนำมาใช้ในพิธีกรรมการฆ่าตัวตาย หรือที่เรียกว่าเซ็ปปุกุ
นอกจากดาบ ซะมุไรยังเน้นการฝึกทักษะในการใช้ยูมิ (ธนูยาว) เพื่อสะท้อนศิลปะแห่งคิวโด (แปลตามตัวอักษรว่า วิถีแห่งธนู) อีกด้วย ในช่วงยุคเซงโงะกุ ธนูยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับทหารชาวญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าในช่วงนั้นพวกเขาจะรู้จักกับอาวุธปืนกันแล้วก็ตาม ยุมิเป็นธนูที่มีรูปร่างไม่รับส่วนกัน โดยประกอบขึ้นมาจากไม้ไผ่ ไม้ และหนัง ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับธนูแบบประกอบขึ้นเหมือนกันแต่ยืดหยุ่นกว่าของชาวยูเรเซียแล้ว ความทรงพลังของยุมิยังต่ำกว่า ยุมิมีระยะการโจมตีที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพอยู่ที่ 50 เมตรหรือน้อยกว่านั้น (ระยะโจมตีเต็มที่คือ 100 เมตร) ยุมิมักจะใช้กันหลัง “เทะดะเทะ” (ญี่ปุ่น: 手盾 tedate ?) หรือกำแพงไม้ไผ่ขนาดใหญ่ที่เคลื่อนที่ได้ ส่วนธนูที่มีขนาดสั้นกว่า (ฮังกิว) มักจะใช้บนหลังม้ากัน (ต่อมา การฝึกฝนการยิงธนูบนหลังม้าได้กลายเป็นพิธีกรรมชินโตที่ชื่อ ยะบุซะเมะ (ญี่ปุ่น: 流鏑馬 Yabusame ?)
ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ยะริ (หอก) ได้กลายเป็นอาวุธที่ได้รับความนิยมพร้อมๆ กับนะงินะตะ (ง้าว) ยะริมักจะถูกนำมาใช้ในสมรภูมิ ที่ซึ่งการบริหารกองทหารเดินเท้าราคาถูกจำนวนมากเป็นปัจจัยที่สำคัญความกล้าหาญส่วนบุคคล การจู่โจมของทั้งทหารราบและทหารม้าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อใช้หอกแทนดาบคะตะนะ และเมื่อปะทะกับซะมุไรที่ใช้ดาบคะตะนะเป็นอาวุธ ผู้ที่ใช้หอกก็มีมักจะได้เปรียบกว่าเสมอ
ในยุทธการชิซุงะตะเกะ ที่ซึ่งฝ่ายของชิบะตะ คะสึอิเอะ แพ้ให้กับฝ่ายฮะชิบะ ฮิเดะโยะชิ (ต่อมารู้จักกันในนามโทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิ) ผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดชัยชนะครั้งนั้นก็คือมือหอกทั้งเจ็ดแห่งชิซุงะตะเกะ (ญี่ปุ่น: 賤ヶ岳七本槍 Shizugatake ?)
ในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 16 ปืนเล็กยาวได้เดินทางเข้ามาในญี่ปุ่นผ่านทางพ่อค้าชาวโปรตุเกส อาวุธชนิดใหม่นี้ทำให้ขุนศึกหลาย ๆ คนสามารถสร้างกองกำลังที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาจากมวลชนชาวนาได้ แต่ตัวมันก็กลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากในสมัยนั้น คนจำนวนมากแลเห็นว่า การที่มันเป็นอาวุธที่ใช้ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพการสังหารสูง เป็นการหมิ่นประเพณีบะชิโดอย่างไร้เกียรติยศ
โอะดะ โนะบุนะงะ ได้ใช้ปืนเล็กยาวจำนวนมากในยุทธการนะงะชิโนะ เมื่อปี พ.ศ. 2118 (ค.ศ. 1575) จนนำไปสู่การสูญสิ้นของตระกูลทะเกะดะในที่สุด
หลังจากที่ชาวโปรตุเกสและชาวฮอลันดาได้นำปืนเล็กยาวแบบบรรจุดินปืน หรือที่เรียกกันว่าเท็ปโปะ เข้ามาในญี่ปุ่นในครั้งแรก ช่างสร้างปืนชาวญี่ปุ่นก็ได้ผลิตมันออกมาเองในปริมาณมาก จนกระทั่งสิ้นสุดศตวรรษที่ 16 จำนวนปืนในญี่ปุ่นก็เพิ่มขึ้นมามากกว่าประเทศใด ๆ ในทวีปยุโรป ปืนทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีตและสะท้อนถึงความมีฝีมือของช่างที่สร้างได้เป็นอย่างดี
เมื่อมาถึงสมัยการปกครองโดยโชกุนโทะกุงะวะ และการสิ้นสุดลงของสงครามกลางเมือง ยอดการผลิตปืนก็ลดลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับการออกคำสั่งห้ามไม่ให้ถือครองเป็นเจ้าของอาวุธปืน ในสมัยการปกครองนี้ อาวุธที่มีพื้นฐานมาจากหอกได้ถูกเลิกใช้ไปบางส่วน เนื่องจากอาวุธเหล่านี้มีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการต่อสู้ระยะประชิด (ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในสมัยเอโดะ) น้อย ส่วนกฎข้อห้ามเกี่ยวกับปืนที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น ก็มีผลให้ไดโชเป็นอาวุธชนิดเดียวเท่านั้นที่ซะมุไรสามารถพกพาได้
ส่วนอาวุธอื่นๆ ที่ซะมุไรนำมาใช้เป็นอาวุธก็ได้แก่ ไม้พลอง (โจะ), กระบองยาว (โบะ), ระเบิดมือ, เครื่องยิงหินแบบจีน (มักจะใช้ในการจู่โจมตัวบุคคลมากกว่าใช้เพื่อการล้อมโจมตี) และปืนใหญ่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น