วันอังคาร, มีนาคม 27, 2555

สะพานชาเพล กับ อนุสาวรีย์สิงโต

ลูเซิร์น (Luzern) เป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งของสวิส ตั้งอยู่ริมทะเลสาบลูเซิร์นที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำรอยส์ (Reuss) จัดเป็นเมืองตากอากาศที่สวยที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์เลยเชียว



ภาพเขียนบอกเล่าเรื่องราวประวัติเมืองลูเซิร์น

สะพานชาเพล (Kapellbrucke หรือ Chapel Bridge) เป็นสะพานไม้ที่มีชื่อเสียง สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 ประดับตกแต่งบนโครงหลังคาหน้าจั่วด้วยภาพวาดในศตวรรษที่ 17 ซึ่งภาพเขียนเหล่านี้เป็นการเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของเมืองลูเซิร์น โดยมีหอคอยน้ำ (Wasserturm) ซึ่งเดิมใช้เป็นที่คุมขังนักโทษและเก็บเอกสารรวมทั้งของมีค่าของเมืองไว้ หอคอยนี้มีลักษณะเป็นรูปทรงแปดเหลี่ยมที่มีฐานเชื่อมติดอยู่กับสะพานสร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 1300 สะพานแห่งนี้เคยถูกไฟไหม้ไปเมื่อปี ค.ศ. 1993 แล้วก็มีการบูรณะใหม่จนมีสภาพใกล้เคียงของเดิม (ภาพวาดดั้งเดิมถูกไหม้ไปเยอะ) สะพานชาเพลนี้ถือเป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปเลยค่ะ

อนุสาวรีย์สิงโต (Loewendenkmal or Lion Monument) สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานและรำลึกถึงทหารสวิส ซึ่งเสียชีวิตจากการรับจ้างออกไปรบ จำนวน 786 คน โดยทำหน้าที่เป็นทหารองครักษ์ให้กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และเสียชีวิตในช่วงสงครามปฏิวัติครั้งใหญ่ในประเทศฝรั่งเศสปี 1792 


ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau)

ทัวร์สวิสเซอร์แลนด์ ยอดเขาจุงเฟรา Top of Europe

ยอดเขาจุงเฟรา Top of Europe ทัวร์สวิสเซอร์แลนด์

ยอดเขาจุงเฟรา (Jungfrau)ที่มีความหมายว่า สาวน้อย เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของยุโรป มีความสูง 4,158 เมตร (13,642 ฟุต) เป็นสถานที่ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความงาม ได้รับการยกย่องว่า เป็น Top of Europe  ยอดเขาจุงเฟรา มีจุดชมวิวที่สูงที่สุดในยุโรปแห่งนี้ มองเห็นได้กว้างไกลที่สุด ณ จุด 3,571 เมตร มีถ้ำน้ำแข็งที่แกะสลักให้สวยงามอยู่ใต้ธารน้ำแข็ง 30 เมตร สัมผัสกับภาพของธารน้ำแข็งที่ยาวที่สุดในเทือกเขาแอลป์ ยาวถึง 22 กิโลเมตร และหนา 700 เมตรโดยไม่เคยละลาย  บนยอดเขา และสถานที่แห่งนี้ยังเป็นที่นิยมของนักสกีมาเล่นกีฬาที่ท้าทายที่นี่ การขึ้นสู่ยอดเขาจุงเฟราสามารถทำได้โดยใช้รถไฟสายกลาเซียร์ เอ๊กซ์เพรส(Glacier Express) รถไฟด่วนที่วิ่งช้าที่สุดในโลก วิ่งผ่านภูมิประเทศที่งดงามของเทือกเขาแอลป์ ผ่านอุโมงค์และสะพาน ตลอดเส้นทางปกคลุมด้วยหิมะ เริ่มต้นได้จากสองสถานีคือ Grindelwald หรือ Lauterbrunnen ผ่านสถานี Kleine Scheidegg และ Eigergletscher ก่อนจะขึ้นสู่สองสถานีที่เหลือโดยจะหยุดแวะพักเพียงสถานีละประมาณ 5 นาทีเท่านั้น คือสถานี Eigerwand (ฝั่งด้านเหนือของ  ยอดเขา Eiger) และ Eismeer (ทางทิศใต้) ณ จุดสูงสุดคือลานน้ำแข็งขนาดใหญ่เรียกว่า Sphinx จุดที่น่าสนใจอีกแห่งคือธารน้ำแข็งที่อยู่ลึก 30 เมตรจากพื้นผิว ซึ่งได้รับการแกะสลักให้สวยงาม

วันจันทร์, มีนาคม 19, 2555

สาวแดนน้ำหอมเฮ ฝรั่งเศสยกเลิกคำว่า “มาดมัวแซลล์” นำหน้าชื่อสตรีแล้ว

สตรีชาวฝรั่งเศสไม่จำเป็นต้องเปิดเผยคำนำหน้าชื่ออีกต่อไป หลังจากที่รัฐบาลสั่งยกเลิกการใช้คำว่า “มาดมัวแซลล์” (mademoiselle) ซึ่งมีความหมายเหมือนกับคำว่า “Miss” ในภาษาอังกฤษ หรือ หมายถึง “นางสาว”
นายกรัฐมนตรีฟรองซัวส์ ฟียง ของฝรั่งเศส ประกาศคำสั่ง เลิกใช้คำว่า “มาดมัวแซลล์”  ในเอกสารราชการทั้งหมด เนื่องจากคำดังกล่าวสามารถสื่อความหมายว่า ผู้หญิงที่ถูกกล่าวถึง ยังโสด ซึ่งหลายฝ่ายคิดว่า ไม่ยุติธรรม ขณะที่นางโรเซลีน บาเชโลต์ รัฐมนตรีกระทรวงเอกภาพสังคม กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเป็นจุดสิ้นสุดของ”การเลือกปฏิบัติ”
โดยนายฟรองซัวส์ ฟียง ยังประกาศเลิกใช้วลี “นอม เดอ ชวน ฟิลเล่” (nom de jeune fille) ซึ่งหมายถึง ชื่อก่อนแต่งงานของผู้หญิง หรือ ไมเดน เนม (Maiden name) ในภาษาอังกฤษ บนเอกสารราชการทั้งหมดเช่นกัน โดยให้เหตุผลว่า เป็นเรื่องล้าสมัย ทั้งยังมีความหมายโดยนัยว่า เป็นหญิงพรหมจารี ได้ด้วย
ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าว ระบุว่า นับจากนี้ให้ใช้คำว่า “มาดาม”กับผู้หญิง แทนคำว่า มาดมัวแซลล์ และใช้วลี ชื่อสกุล (family name) หรือ ชื่อที่เคยใช้ แทน วลี ชื่อก่อนแต่งงาน โดยนักรณรงค์เพื่อสิทธิสตรีชาวฝรั่งเศส ก็ออกมาแสดงความยินดีกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ โดยกล่าวว่า มันไม่ยุติธรรม ที่ผู้หญิงต้องถูกถามว่า แต่งงานหรือยัง เวลาทำธุรกรรมต่าง ๆ ขณะที่ ผู้ชาย ไม่ถูกถาม และเป็นมากกว่าชัยชนะทางสัญลักษณ์ต่อความเท่าเทียมกันทางเพศ

ขณะที่ปัจจุบันสตรีชาวฝรั่งเศสยังคงถูกร้องขอให้ระบุคำนำหน้านามเมื่อต้องกรอกเอกสารบางประเภท  โดยในภาษาฝรั่งเศส คำว่า Madame (มาดาม) ใช้เรียกผู้หญิงทั่วไป หรือ ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ซึ่งเป็นการให้เกียรติ เหมือนกับคำว่า Mrs. (มิสซิส) ในภาษาอังกฤษ ส่วน Madamoselle (มาดมัวเเซลล์)  ใช้เรียกผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน เหมือนกับคำว่า มิส (Miss) ในภาษาอังกฤษ  ขณะที่ ผู้ชาย ใช้ monsieur  (เมอซิเออร์) คำเดียว เหมือนกับคำว่า มิสเตอร์ ในภาษาอังกฤษ

ในภาษาเยอรมัน คำว่า “เฟราไลน์” (Fraulein) ซึ่งหมายความว่า “สาวน้อย” ได้เลิกใช้อย่างเป็นทางการนับตั้งแต่ปี 1972 ขณะที่ในภาษาสเปน คำที่ใช้เรียกหญิงสาวว่า “ซินญอริต้า” (senorita) ถูกมองว่าเป็นเรื่องล้าสมัยแล้ว

“SNSD” สร้างประวัติศาสตร์เป็นศิลปินเกาหลีวงแรกกับงานเพลงในเมืองน้ำหอม

เกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีสุดฮอต SNSD จะปล่อยอัลบั้ม The Boys ที่ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งพวกเธอกำลังจะกลายเป็นศิลปินเคป็อปกลุ่มแรกที่ได้ปล่อยอัลบั้มอย่างเป็นทางการในตลาดเพลงยุโรป โดยตามข้อมูลจากทางต้นสังกัดอย่าง SM Entertainment ได้รายงานว่า อัลบั้ม The Boys นั้นจะจัดจำหน่ายผ่านทางค่าย Polydor ค่ายเพลงฝรั่งเศสที่อยู่ภายใต้Universal Music Group
ซึ่งนอกจากนี้พวกเธอยังจะปล่อยอัลบั้มพิเศษแบบเดียวกันกับอัลบั้ม The Boys ที่เคยปล่อยในอเมริกาไปแล้วด้วย  ซึ่งเมื่อเรามาย้อนอดีตกลับไป ไม่เคยมีศิลปินเกาหลีคนใดที่มีอัลบั้มด้วยการจัดจำหน่ายผ่านตัวแทนจากค่ายเพลงในยุโรปมาก่อน  มีเพียงแค่วงที่ชื่อว่า Koreana ที่เคยมาลงตลาดเพลงยุโรปไปกับเพลง Arirang Singers เมื่อช่วงปี 70 ผ่านค่ายเพลงเดียวกัน แต่ก็มีการผลิตออกมาน้อยมากๆ
“SNSD ได้ขยายตลาดผ่านทางคอนเสิร์ตของพวกเธอที่ฝรั่งเศสเมื่อปีที่ผ่านมา และถึงแม้ว่าพวกเธอจะปล่อยอัลบั้มในฝรั่งเศส แต่พวกเธอจะสามารถโปรโมตผลงานแบบทั่วโลกได้อย่างแน่นอน” ทาง SM กล่าว
ข้อมูลจาก
http://www.popcornfor2.com

วันศุกร์, มีนาคม 16, 2555

สอบเสร็จแล้ว กำลังจะเป็นพี่ ม.ห้าแล้วน้าาาา

วันพุธ, มีนาคม 14, 2555

"ฟินแลนด์" ทำไมจึงมีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ?!

เด็กดีดอทคอม :: "ฟินแลนด์" ทำไมจึงมีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ?!
ทำไมฟินแลนด์จึงเป็นประเทศที่ ....
- The Programme for International Student Assessment (PISA) ได้จัดการสอบประเมินนักเรียนที่จบการศึกษาภาคบังคับ (เยาวชนอายุ 15 ปี) ของนักเรียนจำนวน 65 ประเทศโดยประเมินจากความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ และประเมิน 3 วิชาคือ การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ผลสอบออกมาปรากฏว่า "ฟินแลนด์" ได้ที่ 2 รองจากเกาหลีใต้
- ประชาชนรู้หนังสือเกือบ 100%
- World Ecomonic Forum (เวทีเศรษฐกิจโลก) จัดให้ฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลกทั้งในระดับประถมศึกษาและระดับที่สูงกว่าขั้นพื้นฐาน (รวมระดับอุดมศึกษา)
เด็กดีดอทคอม :: "ฟินแลนด์" ทำไมจึงมีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ?!
        การศึกษาในประเทศฟินแลนด์ จะเริ่มตั้งแต่ Daycare หรือศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสำหรับเด็กอายุ 8 เดือน - 5 ปี โดยที่ Daycare นั้นจะต้องมีสนามเด็กเล่นให้เด็กใช้วิ่งเล่นโดยที่ผู้ปกครองสามารถเข้าไปเป็นเพื่อนเล่นได้ และแน่นอนว่าฟรี ไม่ต้องเสียเงินค่ะ
        คำถามที่ตามมาคือ ทำไมต้องให้เด็กไป Daycare ตั้งแต่ยังเด็กมาก ?? อีว่า ฮูจาลา ผู้เชี่ยวชาญพัฒนาการของเด็กชาวฟินแลนด์เคยกล่าวไว้ว่า การศึกษาในช่วงวัยเด็กเป็นช่วงที่จำเป็นและสำคัญมากที่สุด เพราะจะส่งผลต่อเนื่องไปจนถึงวัยโต เคยมีการวิจัยทางประสาทวิทยาค้นพบว่า 90% ของการเจริญเติบโตของสมองเด็กจะเกิดขึ้นในช่วงตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 5 ปี นี่คือสาเหตุที่ทำให้เด็กๆ ชาวฟินแลนด์ส่วนมากต้องเริ่มไป Daycare ตั้งแต่ยังเล็กมากนั่นเอง นอกจากนี้ อีว่า ฮูจาลา ยังเคยกล่าวประโยคเด็ดไว้ว่า "Daycare ไม่ใช่สถานที่ที่คนเป็นพ่อเป็นแม่จะเอาลูกมาทิ้งไว้แล้วตัวเองก็ออกไปทำงานหาเงิน แต่ Daycare เป็นที่ที่เด็กๆ จะได้เล่นและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเพื่อนใหม่"
เด็กดีดอทคอม :: "ฟินแลนด์" ทำไมจึงมีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ?!
        แต่สำหรับพ่อแม่บางคนที่ไม่อยากส่งลูกเล็กไป Daycare เนื่องจากลูกยังเล็กเกินไปจึงเป็นห่วงด้านความปลอดภัย ก็มีทางเลือกพิเศษให้ค่ะ นั่นก็คือพ่อแม่สามารถดูแลลูกที่บ้านได้ เปรียบเสมือนบ้านตัวเองเป็น Daycare โดยทางเทศบาลเมืองจะมีเงินจ่ายให้กับพ่อแม่ที่จัดบ้านตัวเองเป็น Daycare ด้วย !! แต่ก็ไม่ใช่ว่าพ่อแม่จะรับเงินแล้วก็มาเลี้ยงลูกแบบทิ้งขว้างได้นะคะ เพราะทางเทศบาลเค้าจะมีการสุ่มตรวจอยู่เสมอค่ะว่าพ่อแม่เลี้ยงลูกได้เหมาะสมหรือเปล่า
        ต่อมาเมื่ออายุเข้า 6 ปี เด็กๆ ส่วนมากจะเข้าเรียนในโรงเรียนประเภท Pre-School / Kindergarten เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งก็เป็นโรงเรียนเตรียมความพร้อมก่อนเข้าเรียนประถมกึ่งๆ โรงเรียนอนุบาลบ้านเรานั่นเองค่ะ โดยเด็กๆ จะได้เรียนอ่านเขียนหนังสือกันอย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการฝึกตนเองให้เป็นคนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน เข้าใจในความต้องการของผู้อื่น และมีทัศนคติในแง่บวกต่อคนรอบข้างและวัฒนธรรมอื่นๆ
เด็กดีดอทคอม :: "ฟินแลนด์" ทำไมจึงมีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ?!
        และพออายุครบ 7 ปี ก็จะได้เวลาของ "การศึกษาภาคบังคับ" แล้วค่ะ คือบังคับเลยว่าต้องเข้าเรียนทุกคน โดยการศึกษาภาคบังคับของฟินแลนด์จะกินเวลาทั้งหมด 9 ปีตั้งแต่เกรด 1-9 (ประมาณป.1 - ม.3 บ้านเรา) โรงเรียนส่วนมากเป็นโรงเรียนรัฐบาล แน่นอนว่าเรียนฟรี ส่วนโรงเรียนเอกชนก็มีบ้างแต่ค่อนข้างน้อยค่ะ แต่ถึงจะเป็นโรงเรียนเอกชน นักเรียนก็เรียนฟรี !! เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของการเรียนในช่วงนี้คือ โรงเรียนในฟินแลนด์จะไม่มีหลักสูตร Gifted สำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษด้านใดด้านหนึ่ง เพราะเขาถือว่าเด็กทุกคนควรได้รับการพัฒนาไปพร้อมๆ กันอย่างเท่าเทียมกัน และควรให้สำคัญแก่เด็กที่เรียนอ่อนมากกว่าเด็กที่เรียนเก่ง
        สำหรับบรรยากาศการเรียนนั้น ห้องเรียนหนึ่งมักมีนักเรียนไม่เกิน 20 คน สัปดาห์หนึ่งเรียน 4-11 วิชา ตกวันละไม่เกิน 5 ชั่วโมง เช่น ภาษาหลัก (ภาษาฟินนิชหรือสวีดิช) ภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ พลศึกษา ศิลปะ หัตถกรรม เป็นต้น และที่สำคัญ ต่อให้บ้านนักเรียนจะอยู่ในชนบทไกลแค่ไหนก็ไม่ต้องห่วงค่ะ ทางโรงเรียนจะมีรถนักเรียนไปรับ-ส่งนักเรียนฟรีค่ะ (เริดสุด)
เด็กดีดอทคอม :: "ฟินแลนด์" ทำไมจึงมีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ?!
        และพอจบเกรด 9 แล้ว ก็จะจบการศึกษาภาคบังคับ ใครไม่อยากเรียนต่อก็ได้ ส่วนใครที่อยากเรียนต่อ ก็จะสามารถแบ่งไปได้ 2 ทางคือ
- โรงเรียนมัธยมปลาย คือเรียนต่อไปเกรด 10-12  เหมาะสำหรับนักเรียนที่ต้องการเรียนต่อในคณะต่างๆ ของมหาวิทยาลัยในสายวิชาการ เช่น แพทยศาสตร์ ครุศาสตร์ นิติศาสตร์

- โรงเรียนสายอาชีพ จะคล้ายๆ ปวช. บ้านเรา เหมาะสำหรับนักเรียนที่ต้องการฝึกทักษะวิชาชีพมากกว่า

        และเมื่อเรียนจบจากโรงเรียนมัธยมปลายหรือโรงเรียนสายอาชีพแล้ว ก็จะแยกไปได้อีก 2 ทางค่ะ คือ มหาวิทยาลัยทั่วไป และ โพลีเทคนิค ... มหาวิทยาลัยทั่วไปคงไม่ต้องอธิบายเพราะคงรู้จักกันดี พอเรียนจบปริญญาตรี ก็ต่อปริญญาโทและเอกได้ ส่วนโพลีเทคนิคนั้น จะคล้ายๆ ปวส. ของเมืองไทยแต่จะใช้เวลาเรียน 3-4 ปี ปัจจุบันฟินแลนด์มีจำนวนมหาวิทยาลัยประมาณ 20 แห่ง และมีจำนวนโพลีเทคนิคประมาณ 30 แห่งค่ะ แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เรียนฟรีแถมมีอาหารกลางวันให้อีกด้วย (ส่วนค่าอุปกรณ์การเรียนนักศึกษาต้องเป็นผู้ออกเองนะ)
เด็กดีดอทคอม :: "ฟินแลนด์" ทำไมจึงมีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ?!

เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
- ฟินแลนด์เป็นประเทศหนึ่งที่ผลิตหนังสือสำหรับเด็กมากที่สุดในโลก
- รายการต่างประเทศที่เข้ามาฉายในช่องทีวีของฟินแลนด์ มักไม่ค่อยมีการพากย์เสียงภาษาฟินแลนด์ จะยังคงพูดภาษาเดิมนั้นๆ แต่จะขึ้นซับไตเติ้ลด้านล่างให้อ่านแทน
- ฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีคอรัปชั่นน้อยมากถึงมากที่สุด

ที่มา เด็ก-ดี.คอม

ศุภชัย พานิชภักดิ์

ศุภชัย พานิชภักดิ์ การทำงาน
เริ่มทำงานกับ อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ CAMBRIDGE ตำแหน่ง VISITING FELLOW ปี 2516ธนาคารแห่งประเทศไทยงานการเมืองอื่นๆ
โดยแบ่งกันดำรงตำแหน่งคนละ 3 ปี กับนายไมค์ มัวร์ เนื่องจากไม่สามารถหาข้อยุติด้วยการลงมติเป็นเอกฉันท์ได้ โดยขึ้นดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2545
โดย นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้เสนอชื่อให้ขึ้นดำรงตำแหน่งหลังจากหมดวาระใน องค์การการค้าโลก และได้รับการรับรองจากสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2548
หลังการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 ดร.ศุภชัย เป็นผู้หนึ่งที่มีข่าวว่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็น นายกรัฐมนตรี ต่อมาในกลางปี พ.ศ. 2550 ดร.ศุภชัยได้เดินทางมาประเทศไทยและได้แถลงว่ายังไม่คิดกลับมาทำงานการเมืองในวาระนี้



ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ (อังกฤษ: Dr.Supachai Panitchpakdi) เกิดวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ที่ กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ อังก์ถัด (UNCTAD) ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2548 ก่อนหน้านั้นเคยรับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิก สภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์
ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ มีชื่อเรียกย่อๆ ที่รู้จักกันทั่วไปว่า "ดร.ซุป"

เรือบด


เรือบด
 
เป็นชื่อเรือต่อขนาดเล็กชนิดหนึ่งมี 2 แบบ คือ
แบบรูปเพรียว หัวท้ายเรียว มีแผ่นไม้ตัดเป็นรูปโค้งปีกกาปิดส่วนหนึ่งของด้านบนหัวและ ท้ายเรือ(เรียกตะปิ้ง) ทำให้เคลื่อนที่ได้โดยใช้พาย ที่ในบางครั้งก็ใช้พาย 2 ใบ (เพราะเป็นเรือขนาดเล็ก หัวและท้ายเรือเหมือนกัน สามารถกลับหัวเป็นท้านเรือได้ทันที) ต่อขึ้จากไม้สัหหรือไม้อื่น ๆ คงมีกำเนิดจากรูปแบบเรือบด ของตะวันตกที่เรียกว่าเรือคะยักให้เป็นเริอฉุกเฉินติดมากับเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ เรือบดแบบไทยนี้นิยมใช้ประจำบ้านเพื่อการเดินทางไปมาในลำน้ำที่ไม่ไหลเชี่ยว และมีระยะทางไม่ไกลมากนักหรือใช้สำหรับข้ามฟาก ลำคลอง พื้นที่ที่ พบเห็นมากคือในแถบภาคกลางประเทศไทยเกือบทุกจังหวัด
แบบหัวเรือเรียว ท้ายตัดอย่างเรือทหาร เรือแบบนี้เป็นเรือแบบตะวันตกอย่างแท้จริงบางครั้งเรียกว่าแรือกรรเชียง เพราะการใช้เรือกรรเชียงแทนพาย ต่อขึ้นจากไม้หรือเหล็ก ใช้ประโยชน์ในการโดยสารหรือกรรเชียงเพื่อความเพลิดเพลิน (ตกปลา ชมวิว ออกกำลังกาย) เรือแบบนี้พบเห็นไม่มากนัก

วันนี้วันเกิดไอน์ชไตน์


อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (เยอรมัน: Albert Einstein) (14 มีนาคม พ.ศ. 2422 - 18 เมษายน พ.ศ. 2498) เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎี ชาวเยอรมันเชื้อสายยิวที่มีสัญชาติสวิสและอเมริกัน (ตามลำดับ) ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขาเป็นผู้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ และมีส่วนร่วมในการพัฒนากลศาสตร์ควอนตัม สถิติกลศาสตร์ และจักรวาลวิทยา เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี พ.ศ. 2464 จากการอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก และจาก "การทำประโยชน์แก่ฟิสิกส์ทฤษฎี"
หลังจากที่ไอน์สไตน์ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป ในปี พ.ศ. 2458 เขาก็กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยธรรมดานักสำหรับนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ในปีต่อ ๆ มา ชื่อเสียงของเขาได้ขยายออกไปมากกว่านักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์ ไอน์สไตน์ ได้กลายมาเป็นแบบอย่างของความฉลาดหรืออัจฉริยะ ความนิยมในตัวของเขาทำให้มีการใช้ชื่อไอน์สไตน์ในการโฆษณา หรือแม้แต่การจดทะเบียนชื่อ "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" ให้เป็นเครื่องหมายการค้า
ตัวไอน์สไตน์เองมีความระลึกถึงผลกระทบทางสังคม ซึ่งมีผลมาจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้ง ในฐานะที่เขาได้เป็นปูชนียบุคคลแห่งความบรรลุทางปัญญา เขายังคงถูกยกย่องให้เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีที่มีอิทธิพลต่อวิทยาศาสตร์ที่สุดในยุคปัจจุบัน ทุกการสร้างสรรค์ของเขายังคงเป็นที่เคารพนับถือ ทั้งในความเชื่อในความสง่า ความงาม และความรู้แจ้งเห็นจริงในจักรวาล (คือแหล่งเสริมสร้างแรงบันดาลใจในวิทยาศาสตร์ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่) เป็นสูงสุด ความชาญฉลาดเชิงโครงสร้างของเขาแสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบของจักรวาล ซึ่งงานเหล่านี้ถูกนำเสนอผ่านผลงานและหลักปรัชญาของเขา ในทุกวันนี้ ไอน์สไตน์ยังคงเป็นที่รู้จักดีในฐานะนักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังที่สุด ทั้งในวงการวิทยาศาสตร์และนอกวงการ
ไอน์สไตน์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2498 ด้วยโรคหัวใจ
ผลงานของไอน์สไตน์ในสาขาฟิสิกส์มีมากมาย ต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่ง:
ไอน์สไตน์ได้ตีพิมพ์ผลงานทางวิทยาศาสตร์มากกว่า 300 ชิ้น และงานอื่นที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์อีกกว่า 150 ชิ้น ปี พ.ศ. 2542 นิตยสารไทมส์ ยกย่องให้เขาเป็น "บุรุษแห่งศตวรรษ" ผู้เขียนชีวประวัติของเขาเอ่ยถึงเขาว่า "สำหรับความหมายในทางวิทยาศาสตร์ และต่อมาเป็นความหมายต่อสาธารณะ ไอน์สไตน์ มีความหมายเดียวกันกับ อัจฉริยะ"