วันอาทิตย์, สิงหาคม 28, 2554

คาร์นิวัล สไตล์เยอรมัน

เทศกาลคาร์นิวัล (Karneval)
เมื่อเอ่ยถึงเทศกาลนี้ ต้องเป็นที่คุ้นหูของคนทั่วโลก เพราะถือเป็นประเพณีสำคัญของชาวคริสต์
สำหรับระยะเวลาของการจัดงานนั้นแตกต่างกันไปตามความต้องการของแต่ละท้องถิ่น
สัญลักษณ์ของงานที่เห็นได้ชัดเจนเหมือน ๆ กัน คือ การแต่งกายแฟนซี สีสรรฉูดฉาด ผู้คนเดิน
กลุ่มเป็นขบวนไปตามท้องถนน ชาวเยอรมันส่วนใหญ่นิยมเรียกชื่อเทศกาลนี้ว่า "Fasching"
ซึ่งคำนี้ถูกใช้กันมาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 13 แล้ว

การเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางการเริ่มจากวันที่ 11 พ.ย. ของทุกปี เวลา 11.11 น. แต่ละเมือง
จะมีการแห่ขบวนพาเหรด เดินเข้าแถวต่อกันเป็นกลุ่มๆ ระยะเวลาของงานกินเวลานานนับเดือน
ซึ่งในระหว่างวันที่ 12 พ.ย. ถึง 5 ม.ค. จะมีสีสรรของงานอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับเมืองนั้นๆ เมืองที่
ขึ้นชื่อว่ามีการจัดงานยิ่งใหญ่ มีผู้เข้าร่วมงานนับหมื่น แสนคน ได้แก่ Koeln , Mainz ,
Dueseldorf ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ต่างก็สนุกสนานกับการแต่งกายให้แปลกไปจากชีวิต
ประจำวัน เด็กๆ ต่างได้แต่งกายไปตามฝัน ตามจินตนาการของตน ที่นิยมของเด็กหญิง คือ การ
แต่งเป็นเจ้าหญิง , แม่มด , สัตว์ประเภทต่าง ๆ ส่วนเด็กชายที่เห็นฮิตกันทั่วหน้า คือ โจรสลัด
ตามมาด้วย ตำรวจ , พนักงานดับเพลิง , ทหารสมัยโรมัน ผู้ใหญ่เองก็พลอยสนุกไปด้วย
ถือเป็นการปลดปล่อยความเครียดจากการตรากตรำทำงาน มารวมกลุ่มสังสรรค์กัน

ตามปฏิทินของเยอรมันมักจะระบุวันสำคัญก่อนสิ้นสุดงาน Fasching ไว้ดังนี้
Nelkensamstag........ ตรงกับ วันเสาร์
Tulpensonntag......... ตรงกับ วันอาทิตย์
Rosenmontag ..........ตรงกับ วันจันทร์
Fastnachtsdienstag ตรงกับ วันอังคาร

ในเวลาเที่ยงคืนของวันอังคารนี้เอง เป็นจุดสิ้นสุดของเทศกาลอย่างแท้จริง
(วันพุธต่อมาถูกเรียกว่า Aschermitwoch) หลายๆเมืองมีประเพณีการเผาหุ่นฟางเปรียบเสมือน
การอำลาอย่างเป็นทางการ เพื่อมาพบกันใหม่ในปีหน้า

เทศกาลคาร์นิวัล

เทศกาลคาร์นิวัล
                มีที่ใดบ้างที่จะปิดกิจการงานทั่วประเทศปีละสี่วันสี่คืนเพื่อจัดขบวนแห่อันหรูหราเอิกเกริกและร่ำดื่มสุรากันอย่างสนุกสนาน แต่เดิมคาร์นิวัลเป็นงานฉลองของพวกนอกศาสนา ก่อนกลายมาเป็นงานเทศกาลทางคริสต์ศาสนาของยุโรปในช่วงปลายฤดูหนาว และเป็นงานรื่นเริงงานสุดท้ายก่อนเข้าสู่ฤดูถือบช 40 วัน แล้วจึงตามมาด้วยเทศกาลอีสเตอร์ [คาร์เนวัลเพี้ยนมาจากคำว่า คาร์เนวาเล (carne vale)  ในภาษาอิตาเลียนแปลว่า ลาขาดจากเนื้อ ] งานคาร์นิวัลในบราซิลมีต้นตอมาจากเทศกาลเอนตรูโด (entrudo) ชองชาวโปรตุเกสในช่วงก่อนถึงฤดูบวช มีการเล่นสาดน้ำ-โคลน และแป้งใส่กันจนถึงขั้นเจ็บตัวกลับไป บราซิลจึงสั่งห้ามการละเล่นนี้ตั้งแต่ศตวรษที่ 19 แต่ทุกวันนี้ยังมีการเล่นกันอยู่ในโบลิเวียและอาร์เจนตินา
               งานคาร์นิวัลที่นครฮิโอ เด จาเนย์โรจัดเป็นงานที่โด่งดังที่สุดของบราซิล และถือเป็นประเพณีว่าจะต้องจัดขึ้นทุกปีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1930 อันเป็นช่วงเดียวกับที่แต่ละเขตนำการเต้นรำชุดสวยๆและเพลงประกอบเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของขบวนแห่ ครั้นถึงปี 1932 ก็เริ่มมีการประชันขันแข่งกันจนถูกเรียกขานว่า คณะแซมบ้า (escolas de samba) เพลงแซมบ้ามีต้นกำเนิดมาจากดนตรีในแถบแอฟริกาตะวันตกที่มีกลองเสียงทุ้มต่ำเป็นตัวนำ ในภาคใต้ของบราซิลจะถือว่าดนตรีจังหวะนี้เป็นสัญลักษณ์ของงานคาร์นิวัล


 
           ชาวบราซิลถือว่างานคาร์นิวัลนั้นครอลคลุมทั้งถนนและคลับบาร์ เมืองซัลวาดอร์มีการเต้นรำกลางท้องถนนที่สนุกมาก โดยวงดนตรีโอเอเล็กตริโกสจะบรรเลงเพลงเสียงดังกึกก้องนำหน้าเหล่านักเต้นไปรอบๆเมือง การมาชมงานคาร์นิวัลในบราซิลควรสวมเสือ้ผ้าให้น้อยชิ้นที่สุด (กางเกงาสั้นหรือชุดว่ายน้ำ) เพื่อให้กลมกลืนเข้ากับฝูงชนและไม่ให้เป็นที่สะดุดตาแก่เหล่ามิจฉาชีพ นักท่องเที่ยวที่มีประสบการณ์จะชอบงานคาร์นิวัลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากกว่า งานที่เฮรีเฟจะใช้ดนตรีจังหวะเร่าร้อน(frevo) แต่ในรัฐบาเยียจะใช้ดนตรีจังหวะซ้ำๆซากๆ (afoxe') เนื้อร้องเป็นภาษแอฟริกัน ผู้มาร่วมงานจะสวมชุดผ้าซาตินพริ้วบาน

 
 
             งานคาร์นิวัลที่ลดดีกรีความบ้าคลั่งลงมาเล็กน้อยอาจหาชมได้ที่เมืองโอลิงดา โออูโรเปรโต และตามย่านชานเมืองของนครฮิโอ ในนครฮิโอจะจัดการเต้นรำกันที่หาดโกปากาบานาและอิปาเนมา ความแตกต่างทางชนชั้นดูเหมือนจะมลายหายสูญไปหมดในขณะที่ผู้คนพากันออกมารื่นเริงเต้นกันไปตามท้องถนนฉันเพื่อนสนิท ซ้ำยังร่ำดื่มเบียร์กับเหล้ากาชากา  (cachaca) ซึ่งหมักจากน้ำอ้อยกันอย่างเต็มที่


ที่มา : http://cherokee.exteen.com/images/postcards/venice/File1482.jpg
http://www.bloggang.com/data/thai-nba-lover/picture/1188836470.jpg
http://cherokee.exteen.com/images/postcards/venice/Venice3.jpg



อันนี้เป็นคานิวัล สไตล์เยอรมัน

วันเสาร์, สิงหาคม 20, 2554

ประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 7000 ล้านคนในปีนี้

วันที่ 11 กรกฎาคม ของทุกปี ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เนื่องด้วยองค์การสหประชาชาติกำหนดให้เป็นวันประชากรโลก เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงประเด็นของปัญหาประชากรและให้ความสำคัญต่อแผนการพัฒนาทุก ๆ ด้านเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ประชากรในประเทศของตนมีคุณภาพที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ซึ่งสำหรับประเทศไทยแล้วปัจจุบันพบว่ามีอัตราการเกิดน้อยลง ในขณะที่ผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวอาจทำให้เกิดปัญหาหลายด้านตามมาในอนาคต
   
ดร.นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า ปัญหาประชากรทั่วโลกที่ประสบอยู่ขณะนี้คือ ทุกปีจะมีจำนวนประชากรโลกเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันมีประชากรที่อาศัยอยู่บนโลกประมาณ 7,000 ล้านคน ในแต่ละปีจะมีประชากรเพิ่มขึ้นประมาณ 78 ล้านคน ซึ่งเท่ากับจำนวนประชากรของประเทศแคนาดา ออสเตรเลีย กรีซและโปรตุเกสรวมกัน แต่จากอัตราที่เพิ่มขึ้นเกือบทั้งหมดหรือร้อยละ 97 อยู่ในประเทศที่ด้อยพัฒนา ซึ่งบางประเทศต้องดิ้นรนเพื่อตอบสนองความต้องการของประชากร ทำให้มีช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยห่างกันมากขึ้น
   
เมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้นก็มีผล กระทบทำให้โลกของเราต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนน้ำและอาหาร แต่ในขณะเดียวกันประเทศที่ร่ำรวยและมีรายได้ปานกลางหลายประเทศกลับกำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจริญพันธุ์ต่ำ การลดลงของประชากร และการเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุ ซึ่งประเทศไทยเราก็เป็นหนึ่งในจำนวนหลายประเทศที่กำลังเผชิญกับสภาวะการเจริญพันธุ์ต่ำและมีสัดส่วนของประชากรสูงอายุเพิ่มมากขึ้นทั้งนี้สาเหตุเนื่องมาจากความสำเร็จของโครงการวางแผนครอบครัวแห่งชาติ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็ว และความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข ทำให้การวางแผนครอบครัวเป็นที่แพร่หลาย
   
ปัจจุบันอัตราเพิ่มของประชากรไทยชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว และประชากรมีสุขภาพและอายุยืนยาวขึ้น ทำให้ในอนาคตประเทศไทยจะมีประชากรสูงอายุ (60 ปี ขึ้นไป) เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นการเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่รวดเร็วมาก จากร้อยละ 10.7 ในปีพ.ศ. 2550 หรือประมาณ 7 ล้านคน เป็นร้อยละ 11.8 หรือ 14.4 ล้านคน คาดว่าในปีพ.ศ. 2568 จะมีอัตราการเข้าสู่   ’ภาวะประชากรสูงอายุ“ (Population Aging) รวดเร็วเป็น 2 เท่า ภายในระยะเวลาไม่ถึง 20 ปี ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางอายุและเพศของประชากร

จากสถานการณ์ปัญหาที่ประเทศ ไทยกำลังประสบอยู่นี้ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งรับผิดชอบในเรื่องการส่งเสริมสุขภาพประชาชนทุกกลุ่มวัย จึงได้ตระหนักเห็นคุณค่าของผู้สูงอายุ และจัดทำยุทธศาสตร์ส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุ โดยเน้นการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุในระยะยาว  (Long Term Care) ซึ่งจะแบ่งศักยภาพของผู้สูงอายุเป็น 3 กลุ่ม ตามความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวัน ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ผู้สูงอายุที่พึ่งตนเองได้ ช่วยเหลือผู้อื่น ชุมชนและสังคมได้ กลุ่มที่ 2 ผู้สูงอายุที่ดูแลช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง และกลุ่มที่ 3 ผู้สูงอายุที่พึ่งตนเองไม่ได้ พิการ
   
จากนั้นก็นำเข้าร่วมโครงการที่สำคัญดังนี้ โครงการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว โดยมีตำบลต้นแบบด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ 76 แห่ง เช่น ต.บางสีทอง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ฯลฯ โครงการพัฒนารูปแบบบริการสุขภาพและสวัสดิการเชิงบูรณาการ และโครงการวัดส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้เป็นศูนย์รวมด้านจิตใจ การส่งเสริมสุขภาพและอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น รวมถึงส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุในชุมชน ปัจจุบันมีวัดที่ส่งเสริมสุขภาพทั้งสิ้น  2,366 แห่ง และยังมีโครงการวิจัยเฝ้าระวังสถานะสุขภาพร่วมกับการดูแลสุขภาพในระยะยาว
   
นอกจากนี้ยังมีหลักการดูแลสุขอนามัยผู้สูงอายุด้วย หลัก 10 อ.คือ อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย อุจจาระ อนามัย อุบัติเหตุ อารมณ์ อดิเรก (งาน) อบอุ่น (ความผูกพัน) และอนาคต (การเตรียมตัวเตรียมใจ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงเมื่ออายุมากขึ้น) ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ พร้อมกันนี้ลูกหลานและชุมชนควรช่วยกันดูแลและส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุในครอบครัวรวมทั้งการสนับสนุนให้ผู้สูงอายุเป็นจิตอาสาด้วย
   
สำหรับเรื่องสภาวะการเจริญพันธุ์ต่ำที่ประเทศไทยเผชิญอยู่นั้น จากสถิติปัจจุบันพบว่าผู้หญิงไทยคนหนึ่งมีลูกเฉลี่ยเพียง 1.5 คนเท่านั้น จากช่วงระหว่างปีพ.ศ. 2506-2526 มีการเกิดในประเทศไทยแต่ละปีเกินกว่า 1 ล้านคน แต่ปัจจุบันอัตราการเกิดลดลงเหลือเพียงร้อยละ 1.3 หรือ 8 แสนคน และมีแนวโน้มว่าเด็กจะเกิดในประเทศไทยลดต่ำลงไปอีก เพราะคนหนุ่มสาวนิยมเป็นโสดกันมากขึ้นและผู้ที่แต่งงานแล้วก็มักมีลูกน้อยลง จึงคาดการณ์ได้ว่าประชากรของประเทศไทยจะเพิ่มช้าลงไปอีกในอนาคตและจะไปคงที่อยู่ที่ประมาณ 65-66 ล้านคน ในอีก 20-30 ปีข้างหน้าจะมีเด็กเกิดในประเทศไทยเพียงประมาณปีละ 7 แสนคนเท่านั้น
   
อย่างไรก็ตามด้วยสภาพแวดล้อมในครอบครัวที่เสื่อมลง สภาพครอบครัวแตกแยก สตรีและเด็กถูกเอาเปรียบ ถูกกระทำรุนแรงทางกายและจิตใจ ทำให้สังคมไทยต้องเผชิญกับปัญหาอีกรูปแบบหนึ่งคือ ’เด็กเกิดน้อยแต่ด้อยคุณภาพ“ สาเหตุเนื่องจากยังมีการตั้งครรภ์และการคลอดที่ไม่ได้รับการดูแลจากบุคลากรทางแพทย์และสาธารณสุข ทารกที่คลอดออกมาจึงมีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน ติดเชื้อจากมารดา พิการ หรือผิดปกติ เป็นจำนวนมาก ซึ่งก็รวมถึงกลุ่มวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ในวัยที่ยังไม่พร้อมด้วยจึงก่อให้เกิดการทำแท้งและมีผลกระทบ ต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย
   
ดังนั้นเมื่อมีการด้อยคุณภาพเช่นนี้ คนไทยที่เกิดมารุ่นต่อ ๆ ไป นอกจากจะมีจำนวนน้อยแล้วยังมีคุณภาพด้อยลงด้วย ทำให้โอกาสที่จะแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ด้านเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตลดน้อยลงเนื่องจากประชากรไม่มีคุณภาพ การพัฒนาประชากรเด็กจึงเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงอีกเช่นกัน โดยเริ่มดูแลตั้งแต่การเกิด พ่อแม่ต้องมีความพร้อมก่อนตั้งครรภ์ การดูแลครรภ์ขณะคลอดและหลังคลอดทั้งแม่และทารก ทางกรมอนามัยจึงได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติฉบับที่ 1 (พ.ศ.2553-2557) เพื่อส่งเสริมคุณภาพของการเกิดทุกรายในประเทศไทย
   
ยุทธศาสตร์การพัฒนางานอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติประกอบด้วย 1. เสริมสร้างครอบครัวใหม่และเด็กรุ่นใหม่ให้เข้มแข็งเพื่อให้การตั้งครรภ์ทุกรายเป็นการตั้งครรภ์ที่พร้อม ทารกและเด็กได้รับการเลี้ยงดูอย่างมีคุณภาพ  2. ส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยการเจริญพันธุ์และสุขภาพทางเพศที่เหมาะสม โดยมีระบบการเรียนรู้ การสอนแบบมีส่วนร่วมเรื่องเพศศึกษาและทักษะชีวิตที่รอบด้าน 3. พัฒนาระบบบริการอนามัยการเจริญพันธุ์ โดยให้โรงพยาบาลทุกระดับมีการจัดบริการด้านอนามัยเจริญพันธุ์สำหรับวัยรุ่นและมีโรงเรียนต้นแบบการจัดบริการอนามัยเจริญพันธุ์ที่มีคุณภาพ
   
4. พัฒนาระบบบริหารจัดการอย่างบูรณาการ โดยให้ทุกจังหวัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์และมีแผนแม่บทจัดการด้านอนามัยเจริญพันธุ์ 5. การพัฒนากฎหมาย กฎ ระเบียบ และ 6. การพัฒนาจัดการด้านความรู้และเทคโนโลยี โดยจัดให้มีระบบเฝ้าระวังสถานการณ์ มีนวัตกรรมและการจัดการความรู้ด้านอนามัยการเจริญพันธุ์และสุขภาพทางเพศ
   
นอกจากทุกหน่วยงานจะประสานความร่วมมือปรับยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาประชากรแล้ว ตัวประชาชนเองควรมีส่วนร่วมในการช่วยส่งเสริมคุณภาพประชากรด้วยการให้ความสำคัญกับการมีลูก คืออย่ามีลูกมากจนเกินความเหมาะสม เพราะจะทำให้การพัฒนาของครอบครัวเป็นไปได้ไม่ดี ควรมีครอบครัวละไม่เกิน 3 คน และที่สำคัญคือการเริ่มต้นที่การเตรียมพร้อมร่างกายจิตใจที่ดีก่อนการตั้งครรภ์ เมื่อตั้งครรภ์แล้วควรไปฝากท้องยังสถานบริการและไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง สุดท้ายเมื่อลูกคลอดมาแล้วควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน พร้อมกับสร้างเสริมพัฒนาการให้ลูกตามวัย จนกระทั่งเติบโตไปสู่วัยรุ่นควรแนะนำให้ความรู้เรื่องเพศสัมพันธ์อย่างถูกต้อง และเมื่ออยู่ในวัยทำงานควรตรวจสุขภาพร่างกายทุกปี โดยเฉพาะโรคร้ายอย่างมะเร็ง
   
หากประชากรไทยมีการพัฒนาไปในทางที่ดีก็จะมีคุณภาพเพื่อเป็นกำลังสำคัญที่จะช่วยกันพัฒนาประเทศชาติของเราต่อไป. 

“สำหรับเรื่องสภาวะการเจริญพันธุ์ต่ำที่ประเทศไทยเผชิญอยู่นั้น จากสถิติปัจจุบันพบว่าผู้หญิงไทยคนหนึ่งมีลูกเฉลี่ยเพียง 1.5 คนเท่านั้น จากช่วงระหว่างปีพ.ศ. 2506-2526 มีการเกิดในประเทศไทยแต่ละปีเกินกว่า 1 ล้านคน แต่ปัจจุบันอัตราการเกิดลดลงเหลือเพียงร้อยละ 1.3 หรือ 8 แสนคน และมีแนวโน้มว่าเด็กจะเกิดในประเทศไทยลดต่ำลงไปอีก เพราะคนหนุ่มสาวนิยมเป็นโสดกันมากขึ้นและผู้ที่แต่งงานแล้วก็มักมีลูกน้อยลง”

20 ลำดับประเทศที่มีประชากรมากที่สุด

1.    ประเทศจีน                    มีประชากรจำนวน    1,341,335,000    คน
2.    ประเทศอินเดีย              มีประชากรจำนวน    1,224,614,000    คน
3.    ประเทศสหรัฐอเมริกา    มีประชากรจำนวน    310,384,000       คน
4.    ประเทศอินโดนีเซีย       มีประชากรจำนวน    239,781,000       คน
5.    ประเทศบราซิล             มีประชากรจำนวน    194,946,000       คน
6.    ประเทศปากีสถาน        มีประชากรจำนวน    173,593,000       คน
7.    ประเทศไนจีเรีย            มีประชากรจำนวน    158,432,000       คน
8.    ประเทศบังกลาเทศ      มีประชากรจำนวน    148,692,000       คน
9.    ประเทศรัสเซีย             มีประชากรจำนวน    142,958,000        คน
10.    ประเทศญี่ปุ่น             มีประชากรจำนวน    126,536,000        คน
11.    ประเทศเม็กซิโก        มีประชากรจำนวน    113,423,000        คน
12.    ประเทศฟิลิปปินส์      มีประชากรจำนวน    93,261,000          คน
13.    ประเทศเวียดนาม      มีประชากรจำนวน    87,848,000          คน
14.    ประเทศเอธิโอเปีย    มีประชากรจำนวน    82,950,000          คน
15.    ประเทศเยอรมนี        มีประชากรจำนวน    82,302,000          คน
16.    ประเทศอียิปต์          มีประชากรจำนวน    81,121,000          คน
17.    ประเทศอิหร่าน         มีประชากรจำนวน     73,974,000         คน
18.    ประเทศตุรกี             มีประชากรจำนวน     72,752,000         คน
19.    ประเทศไทย            มีประชากรจำนวน     69,122,000         คน    
20.    ประเทศคองโก        มีประชากรจำนวน     65,966,000          คน

(ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ สำรวจเมื่อกลางปีค.ศ. 2010)

ทีมวาไรตี้

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 11, 2554

เฮลิคอปเตอร์ตกกันง่ายๆ จริงหรือ

สวัสดีค่ะน้องๆ ... ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ประเทศไทยเจอเรื่องที่หดหู่แบบสุดๆ ขนาดพี่มิ้นท์ เองดูข่าวแล้วยังแทบน้ำตาไหล นั่นก็คือ ข่าวการปฏิบัติภารกิจที่แลกกับชีวิตของเหล่าทหารกล้า เมื่อ ฮ. 3 ลำ (ฮิวอี้  แบล็คฮอว์กและ เบลล์ 212) ตกซ้ำติดต่อกันภายในเวลาไม่ถึง 10 วัน ใน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี  ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 17 คน!! เหตุการณ์นี้คงเป็นอุบัติเหตุครั้งสำคัญที่คนไทยไม่มีวันลืม...
           จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เลยเป็นแรงบันดาลใจให้ พี่มิ้นท์ สนใจเรื่อง ฮ. มากขึ้น และได้หาข้อมูลมาฝากชาว Dek-D.com ด้วย เพื่อเป็นวิทยาทาน และผลบุญของการให้ความรู้ครั้งนี้ ขออุทิศให้กับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ทุกท่านค่ะ
           เฮลิคอปเตอร์คืออะไร           ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกันก่อนว่า เฮลิคอปเตอร์ หรือ ที่เรียกๆ กันว่า ฮ. นี้ คืออะไร ฮ. ก็คือ อากาศยาน ที่ไม่มีปีก แต่มีใบพัดขนาดใหญ่(มาก)อยู่ด้านบน ดูไปดูมาก็คุ้นๆ คล้ายแมลงปอ ถือว่าเป็นพาหนะที่มีประโยชน์มากๆ ในหน่วยของทหาร สามารถขับเคลื่อน และบินลงในแนวดิ่งได้ แม้จะอยู่ในที่แคบก็ตาม ที่สำคัญยังจอดนิ่งๆ ในอากาศได้อีกด้วย ถ้าน้องๆ เคยดูหนังหรือละคร ก็จะเห็นฉากหน่วยกู้ภัยโรยตัวลงมาจาก ฮ. เพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ นี่แหละค่ะประโยชน์ของมันในแง่ของการกู้ภัยต่างๆ ซึ่งเครื่องบินอาจจะเทียบไม่ได้เลยในเรื่องนี้
เด็กดีดอทคอม :: "เฮลิคอปเตอร์" ตกกันง่ายๆ จริงหรือ ??
          เฮลิคอปเตอร์บินอย่างไร 
           เฮลิคอปเตอร์ไม่มีปีกที่ยึดติดกับลำตัวเหมือนเครื่องบินค่ะ แต่จะมีใบพัดทำหน้าที่ช่วยในการเคลื่อนที่ เรียกว่า โรเตอร์ ใบพัดด้านบนเรียกว่า Main Rotor เมื่อมันหมุนก็จะเกิดแรงฉุดในทิศตั้งฉากกับพื้น ทำให้เครื่องยกขึ้นในลักษณะแนวดิ่ง ซึ่งจะต่างจากเครื่องบินที่จะเคลื่อนไปข้างหน้านั่นเอง ส่วนใบพัดด้านหลังเรียกว่า Tail Rotor เป็นใบพัดชุดเล็กที่หาง ทำหน้าที่แก้แรงจากเครื่องยนต์ โดยจะหมุนไปทิศทางตรงกันข้ามกับ Main Rotor เพื่อบังคับการเลี้ยวและรักษาทิศทางของเฮลิคอปเตอร์ให้ตรง รวมทั้งทำให้ลอยตัวนิ่งๆ ได้ค่ะ
เด็กดีดอทคอม :: "เฮลิคอปเตอร์" ตกกันง่ายๆ จริงหรือ ??


สำหรับการควบคุมทิศทางการบิน เฮลิคอปเตอร์สามารถเคลื่อนที่ไปได้ทุกทิศทางทั้งขึ้นลง ซ้าย ขวา หน้า หลัง ด้วยการปรับมุมเอียงของใบพัด (main rotor) ไปตามทิศทางที่ต้องการ เช่น หากต้องการไปข้างหน้าก็ปรับใบพัดเอียงไปด้านหน้าในขณะที่ยังหมุนอยู่ เพื่อสร้างแรงยกทางด้านหลัง ลองดูรูปประกอบนะคะ
           สำหรับในเรื่องความปลอดภัย แม้ว่าเฮลิคอปเตอร์จะมีขนาดเล็ก และองค์ประกอบภายนอกดูบอบบางกว่าเครื่องบิน แต่จริงๆ แล้ว เฮลิคอปเตอร์ก็มีความปลอดภัยสูงทีเดียว ในกรณีที่เครื่องยนต์ขัดข้องไม่สามารถเคลื่อนได้ นักบินก็สามารถทำออโต้โรเตชั่น คือ การบังคับเครื่องโดยไม่อาศัยเครื่องยนต์ แต่จะบังคับเครื่องให้ร่อนลง ด้วยมุมชันมากกว่าปกติ เพื่อรักษาความเร็วของโรเตอร์ไว้ตามเกณฑ์ไม่ให้ร่วงหล่นลงมา และประคับประคองให้ลงจอดในที่ที่ปลอดภัยต่อไป ซึ่งในส่วนนี้เป็นคุณสมบัติที่เครื่องบินไม่สามารถทำได้ หากแต่ว่าสิ่งที่นอกเหนือการควบคุมต่างหากที่เป็นอุปสรรคและปัจจัยหลักทำให้เฮลิคอปเตอร์เกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะสภาพอากาศ เพราะกระแสลมจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการขับเคลื่อน

           หากอยู่ในสภาพอากาศปกติ เฮลิคอปเตอร์ก็สามารถขับเคลื่อนได้ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ในบางพื้นที่ก็ยากที่จะควบคุมในเรื่องของกระแสลม โดยเฉพาะบริเวณหุบเขาสูง และเมื่อนักบินได้บินไปยังบริเวณสันเขาในพื้นที่ภูเขาสูง อาจจะมีอากาศไหลลงช่องเขาอย่างฉับพลัน ซึ่งเป็นลมความเร็วสูง โดยไม่มีการแจ้งเตือนจากระบบเรดาร์ ลมความเร็วสูงนี้ก็จะพุ่งเข้าด้านข้างของตัวเครื่องอย่างแรง หรือ อาจจะไหลกดส่วนบนของโรเตอร์ โดยมีตัวแปรทั้งในเรื่องความเร็ว ความสูง ทิศทางของกระแสลมกับตำแหน่งของอากาศยาน จนเป็นเหตุให้เครื่องเสียการทรงตัวได้ วิธีแก้ไขมีทางเดียว คือ นักบินต้องบินออกจากแนวลมความเร็วสูงนี้ทันที แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพื้นที่ข้างเคียงก็เป็นหุบเขา จึงบินหลบแนวลมลำบาก จึงอาจเป็นอีกสาเหตุนึงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนี้อีกปัจจัยนึงก็คือ ความเป็นใจของสภาพท้องฟ้าอากาศด้วย ในสภาพท้องฟ้าปิดทำให้ทัศนวิสัยไม่ดี ก็ควรหลีกเลี่ยงที่จะทำการบิน
           โดยสรุปแล้วเฮลิคอปเตอร์ก็เป็นอากาศยานที่มีความปลอดภัยสูง หากแต่มีข้อแม้ที่สำคัญมากๆ ก็คือเรื่องของสภาพอากาศ ที่จะต้องตรวจสอบกันอยู่เสมอ อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือ ความพร้อมของนักบินที่จะต้องมีกำลังกายและใจที่สมบูรณ์ รวมทั้งมีทักษะที่ชำนาญ กล้าตัดสินใจ และความพร้อมของเครื่องยนต์ ก่อนจะทำการบินก็ควรตรวจสอบให้เรียบร้อยด้วยเช่นกัน
          ปัจจุบัน กองทัพบกมีเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้อยู่หลายประเภทมากๆ ค่ะ แต่ในครั้งนี้ พี่มิ้นท์ ขออนุญาต พูดถึงเพียงสามประเภท นั่นก็คือ "ฮิวอี้"  "แบล็คฮอว์ก" และ "เบลล์ 212" เพื่อให้น้องๆ ได้รู้จัก และรำลึกถึงเฮลิคอปเตอร์ที่ประสบอุบัติเหตุค่ะ
เด็กดีดอทคอม :: "เฮลิคอปเตอร์" ตกกันง่ายๆ จริงหรือ ??

           "แบล็คฮอว์ก" (Black Hawk) ฮ.ลำที่สอง ที่ส่งไปเพื่อลำเลียงศพนายทหารจากเหตุการณ์ครั้งแรก แต่แล้วก็เกิดสภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวนกะทันหัน ทำให้ฟ้าปิดอีกครั้ง จนศูนย์วิทยุสื่อสารภาคพื้นดินไม่สามารถติดต่อได้ เค้าว่ากันว่า แบล็คฮอว์กนี้สร้างขึ้นมาเพื่อทดแทนฮิวอี้โดยเฉพาะ เพราะมีความคล่องตัวเป็นเลิศ ความสามารถในการบินก็เยี่ยม สามารถทำภารกิจได้เอนกประสงค์เช่นกัน โดยเป็น ฮ.ประเภทใช้งานทั่วไปเหมือนฮิวอี้ สร้างโดย บริษัท Sikorsky Aircraft สหรัฐอเมริกา แต่เดิมซื้อมาจำนวน 7 ลำ ปัจจุบันเหลือ 6 ลำ
           คุณสมบัติอื่นๆ   เครื่องยนต์ T-700-GE-701C เทอร์โบชาฟ จำนวน 2 เครื่องยนต์
                             น้ำหนักเปล่า 11,500  ปอนด์
                             น้ำหนักบรรทุกภายนอก 9,000 ปอนด์
                             ความเร็วในการเดินทาง 120-150 นอต หรือ 222-277 กม./ชม.
เด็กดีดอทคอม :: "เฮลิคอปเตอร์" ตกกันง่ายๆ จริงหรือ ??

           "เบลล์ 212" (Bell 212) ฮ.ลำที่สาม ที่ส่งไปเพื่อลำเลียงศพนายทหารจากเหตุการณ์ ฮ.ตกครั้งที่ 2 แต่เกิดปัญหาขัดข้องเครื่องหมุนไปทางขวาไม่สามารถควบคุมได้ สำหรับรุ่นนี้สามารถทำได้ทุกอย่างเหมือนฮิวอี้ แต่มีขนาดใหญ่กว่า และใหม่กว่า ส่วนใหญ่จะใช้ในภารกิจขนส่งต่างๆ ซึ่งยังคงเป็น ฮ.ประเภทใช้งานทั่วไป 14 ที่นั่ง ผลิตในบ.เบลล์เฮลิคอปเตอร์ สหรัฐอเมริกา เช่นเดียวกับ ฮิวอี้ โดยฮ.ชนิดนี้มีถึง 60 ลำ
          คุณสมบัติอื่นๆ เครื่องยนต์แพรตแอนด์วิสนีย์ PT6-3B เทอร์โบชาฟ จำนวน 2 เครื่องยนต์
                          น้ำหนักเปล่า 2,753 กก.
                          น้ำหนักรวม 5,600 กก.
                          ความเร็วในการเดินทาง 100 นอต หรือ 180 กม./ชม.

           เฮลิคอปเตอร์ทั้ง 3 ลำ เป็นประเภทใช้งานทั่วไปทั้งหมด แต่ในกองทัพบกยังมีเฮลิคอปเตอร์อีกหลายรูปแบบเพื่อใช้ในโอกาส หรือรูปแบบที่แตกต่างกัน ทั้งเฮลิคอปเตอร์ฝึก, เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง และเฮลิคอปเตอร์แบบลำเลียง ไว้ถ้ามีโอกาสพี่มิ้นท์จะนำมาฝากอีกนะคะ
 
           เป็นยังไงมั่งคะ สำหรับเรื่องราวที่นำมาฝากในวันนี้ สำหรับ พี่มิ้นท์ ก็รู้สึกอึ้งและทึ่ง ในความสามารถของมนุษย์ ที่สามารถประดิษฐ์อากาศยานขึ้นมาเอาชนะความฝันที่ครั้งนึงเคยคิดกันว่าจะต้องบินให้ได้ ซึ่งในปัจจุบันก็มีการพัฒนากันมาเรื่อยๆ และใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางทีเดียว อย่างไรก็ตามแม้ว่าเทคโนโลยีทุกๆ อย่างจะมีประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของคนรุ่นหลังมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ต้องพึงระลึกด้วยว่ามันก็มีโทษเหมือนกัน ดังนั้นก็ควรใช้อย่างมีสติและระมัดระวัง เพราะในท้ายที่สุดเทคโนโลยีก็ไม่มีทางเอาชนะความไม่แน่นอนของชีวิตได้
            สุดท้ายนี้...ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของทหารผู้กล้าทุกคน และขอให้ทหารที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ มีกำลังใจดีๆ ในการปฏิบัติหน้าที่และปฏิบัติภารกิจทุกอย่างด้วยความปลอดภัยค่ะ สาธุ..


อ่านต่อ : http://www.dek-d.com/content/education/25605/เฮลิคอปเตอร์-ตกกันง่ายๆ-จริงหรือ-.php#ixzz1UnBtMhOb
"ฮิวอี้" (Huey) ฮ.ลำแรกที่ประสบอุบัติเหตุขณะออกลาดตระเวนปฏิบัติภารกิจจับกุมขบวนการบุกรุกพื้นที่ป่าร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ เป็น ฮ.ขนาดกลาง ประเภทใช้งานทั่วไป 13 ที่นั่ง แต่เป็นสุดยอดเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกก็ว่าได้ ทั้งใช้ส่งอาหาร อาวุธ เสบียง กำลังพล ฯลฯ เรียกได้ว่าสร้างประโยชน์มหาศาลเพราะสามารถทำได้หลายอย่าง  สร้างโดย บ.เบลล์เฮลิคอปเตอร์ สหรัฐอเมริกา
           คุณสมบัติอื่นๆ  น้ำหนักบรรทุกภายใน 3,400 ปอนด์
                            น้ำหนักบรรทุกภายนอก  4,000 ปอนด์
                            ระบบจรวดไฮดร้า 70 มม. หรือ 2.75 นิ้ว, จรวดขนาด 2.75 นิ้ว
                             ปืนกล XM93 มินิกัน 2 กระบอก
                             ความเร็วในการเดินทาง 100 นอต หรือ 180 กม./ชม.

วันอังคาร, สิงหาคม 02, 2554

เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ

เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ (Liberté, Égalité, Fraternité) เป็นคำขวัญประจำชาติของสาธารณรัฐฝรั่งเศส
ในยุคสมัยการปฏิวัติฝรั่งเศสได้เกิดคำขวัญขึ้นมาว่า "เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ หรือความตาย" (Liberté, Égalité, Fraternité, ou la Mort!) แต่หลังจากนั้นในสมัยจักรวรรดิฝรั่งเศสและราชวงศ์บูร์บงฟื้นฟู คำขวัญดังกล่าวก็ได้ถูกลืมหายไปจนกระทั่งปี พ.ศ. 2391 ปีแอร์ เลอรูซ์ได้นำคำขวัญกลับคืนมาใช้อีกครั้งหนึ่ง และนายกเทศมนตรีนครปารีสได้เขียนคำขวัญดังกล่าวบนกำแพงเมือง จนกระทั่งสมัยสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 ที่คำขวัญนี้ได้กลายเป็นคำขวัญอย่างเป็นทางการ
ในระหว่างการบุกประเทศฝรั่งเศสของเยอรมนีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 คำขวัญได้ถูกแทนโดย "งาน ครอบครัว ปิตุภูมิ" (Travail, famille, patrie) โดยฟิลิป เปแตง หัวหน้ารัฐบาลวิชีฝรั่งเศสโดยการสนับสนุนของนาซีเยอรมนี อย่างไรก็ตามคำขวัญใหม่นี้ได้ถูกล้อเลียนเป็น "แสวงโชค อดอยาก ลาดตระเวน" (Trouvailles, famine, patrouilles) ซึ่งเป็นการสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ในสมัยวิชีฝรั่งเศสที่มีความขาดแคลนและความยากลำบากในการดำรงชีวิต
ปัจจุบันประเทศฝรั่งเศสได้ใช้คำขวัญว่า "เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ" (Liberté, Égalité, Fraternité) เป็นคำขวัญประจำชาติซึ่งก็ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสปี 2489 และ 2501
ไฟล์:Liberte-egalite-fraternite-tympanum-church-saint-pancrace-aups-var.jpg

เสรีภาพ (Liberté) คือการเน้นในเสรีภาพของบุคคล หรือ ปัจเจกชนนิยม และได้ขยายไปในเรื่องเสรีภาพในด้านความคิด ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาหาความรู้ การพิมพ์และเผยแพร่ข่าวสาร รวมทั้งเสรีภาพในทางการเมือง
เสมอภาค (Égalité) คือความเท่าเทียมกันตามกฎหมายของปัจเจกชน ความเสมอภาคขึ้นอยู่กับหลักความเที่ยงธรรม ความเท่าเทียมกันในเรื่องสิทธิและหน้าที่ เช่น ความเท่าเทียมในด้านการเสียภาษี การรับใช้ชาติโดยการเป็นทหาร และสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง
ภราดรภาพ (Fraternité) คือความเป็นพี่เป็นน้องกัน มนุษย์ทุกคนจะต้องมีความเท่าเทียมกันและปฏิบัติต่อกันดุจพี่น้อง ความเป็นพี่เป็นน้อง เป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์ คือ การไม่เน้นผิวพรรณ หรือ เผ่าพันธุ์