วันพุธ, ตุลาคม 23, 2556

Gewurztraminer

alsace

Gewurztraminer is the most typical Alsatian wine. Gewûrz means "spicy" in german. It is the main characteristic of Gewurztraminer. Traminer means "coming from Tramin", a small city in south Tyrol of Austria where the grape is coming from. Gewurztraminer is the name of a grape but also the name of the wine made from the grape!


Gewurztraminer was first grown in Alsace around the 19th century. The grapes now cover roughly 20% of the vineyards in the region. Gewurztraminer replaced a grape called Klevener or Savagnin. Nowadays klevener wines can only be found in the village of Heiligenstein and around. Klevener is a dry white wine with slight spicy flavor while less aromatic than Gewurz, it sould be drunk young.

It is obviously in Alsace where Gewurztraminer grapes give the best results. The wine is delicious, fruity and with strong aromas, a very perfumed and flowery bouquet. Gewurztraminer is sweeter thanRiesling, which is a dry wine.
Thick and rich wine, which can age, Gewurztraminer is better with sauerkraut, sausages and the Alsatian cheese Munster, curry seasoned dishes, chinese and mexican cooking and other spiced dishes. A Gewurztraminer can even be served as a dessert wine.
Gewurztraminer is better when served at 10°C (50°F). Gewurztraminer can last up to 10 years in their best years.

Gewurztraminer wine information :
Name:Gewurztraminer Appellation Alsace Controlée
Location:Alsace region
Places:Eguisheim, Pfaffenheim, Riquewihr, Obermorschwihr, Orschwihr, etc
Soil:Limestone
Clayey-limestone
Size:2,526 ha (6,250 acres)
18% of the Alsace vineyards' size
Production:29 million bottles
Grape:Gewurztraminer
Type of wine:Very aromatic full-body white wine
Age:3 to 10 years
Vintages:
(recommended)
2007, 2005, 2003, 2000, 1998
Aromas:Grapefruit
Rose
LitcheePeach stone
Gewurz and Food:Aperitif
Foie Gras
Spicy dishes
Asiatic food
Dessert wine
Gewurz and Cheese:
Munster (recommended)
Roquefort
Langres
Maroilles
Pont l'Eveque

thanks information from  French Wine Guide

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 10, 2556

ถั่วลิสงกับอัลมอนด์เลือกอันไหนดีกว่ากัน

ถั่วลิสงกับอัลมอนด์เลือกอันไหนดีกว่ากัน
งานนี้คู่ท้าชิงตำแหน่งเจ้าแห่งสังเวียนอาหารเสริมสร้างกล้ามงามๆ ของเราคือ ถั่วลิสงกับอัลมอนด์ ไปดูกันว่าผลสุดท้ายใครจะถูกอัดคว่ำและใครจะคว้าแชมป์ไปครอง
ว่าด้วยเรื่องพลังงาน
ระดับพลังงานถือว่าสูสีชนิดหายใจรดต้นคอระหว่างถั่วลิสง 100 กรัม ที่ให้ 567 kcal กับอัลมอนด์ขนาดเดียวกันที่ให้พลังงาน 575 kcal ต่างกันแค่ 8 kcal ถ้าคุณกินถั่วลิสงเพิ่มไปสัก 2 เม็ด ก็จะได้พลังงานเท่ากันแล้วแคลอรีของอัลมอนด์แซงไปแบบเฉียดฉิว แต่อัลมอนด์ 100 กรัม ให้วิตามินบีแค่ 16 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน ในขณะที่ถั่วลิสงให้ตั้ง 30 เปอร์เซ็นต์ วิตามินพวกนี้จะดึงพลังงานจากอาหาร ทำให้สมองคุณแล่นและตื่นตัวตลอดวัน
ว่าด้วยเรื่องกล้ามเนื้อ
ถึงจะมีชื่อเป็นถั่ว แต่ที่จริงถั่วลิสงเป็นเมล็ดพืชต่างหาก ถั่วลิสงหนึ่งกำมือให้โปรตีนเสริมสร้างกล้ามเนื้อ 26 กรัม ส่วนอัลมอนด์ให้โปรตีน 21 กรัม ไม่บอกก็รู้ว่ากล้ามคุณจะพิศวาสอะไรมากกว่ากัน
อัลมอนด์มีแมกนีเซียมมาก แค่หนึ่งกำมือก็ให้ถึง 87 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน ซึ่งช่วยให้ร่างกายดูดซึมออกซิเจนได้มากขึ้น กล้ามเนื้อจึงทำงานได้เต็มที่มากขึ้น ผลวิจัยในวารสาร Endocrinology Metabolism Clinics of North America บอกว่าอย่างนั้น
ว่าด้วยเรื่องการฟื้นฟูร่างกาย
ถั่ว ลิสง 100 กรัม มีไขมันไม่อิ่มตัว 40 กรัม ส่วนอัลมอนด์มี 42 กรัม “ไขมันชนิดนี้ ดีต่อสุขภาพและจำเป็นต้องใช้รักษาฮอร์โมนที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้มีระดับ สูงเข้าไว้” นักโภชนาการด้านกีฬา แมตต์ โลเวลล์ กล่าว อัลมอนด์ 100 กรัม มีโอเมกา-3  ที่ช่วยต้านอาการอักเสบอยู่ 6 กรัม ส่วนถั่วลิสงมีแค่ครึ่งเดียว มิน่าล่ะอัลมอนด์ถึงแพงกว่าลิบลิ่ว
อัลมอนด์ หนึ่งกำใหญ่ๆ ให้วิตามินอี 121 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน ในขณะที่ถั่วให้มาแค่เกือบครึ่งคือ 42 เปอร์เซ็นต์ ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์พบว่า อัลมอนด์ปริมาณเท่านี้ช่วยลดอาการอักเสบหลังเวิร์กเอาต์ได้ดีเยี่ยม งั้นก็เมินยาแก้ปวดแล้วหันมากินอัลมอนด์แทนหลังเวิร์กเอาต์หนักๆ ดีกว่า
สรุป คือ ถ้าต้องการพลังงานและเสริมสร้างกล้ามเนื้อล่ะก็ ถั่วลิสงตอบโจทย์ได้ตรงกว่าอัลมอนด์แน่นอน แต่ถึงอย่างไร อัลมอนด์ก็มีสารอาหารอื่นๆ ที่น่าทึ่งอยู่เหมือนกัน ซึ่งจะเลือกทานอะไรนั้น เเนะนำ เลือกทานให้ครบ 5 หมู่ และทานอาหารหลากหลายเข้าไว้น่าจะดีที่สุด
Credit: Men’s Health

“หน่อไม้ฝรั่ง” ยาวิเศษเพื่อความงาม

“หน่อไม้ฝรั่ง” ยาวิเศษเพื่อความงาม
แอสพารากัส หรือ หน่อไม้ฝรั่ง เป็นพืชพื้นเมืองแถบยุโรปและแอฟริกา คุณสมบัติสำคัญอยู่ที่ความหวานกรอบ และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว รสชาติดี มีคุณค่าทางอาหารสูง ชาวกรีกเป็นชนชาติแรกที่ริเริ่มปลูกหน่อไม้น้ำเมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว และต่อมาก็เป็นที่นิยมบริโภคกันมากสำหรับชาวกรีก โรมัน และอียิปต์โบราณ

คุณค่าอาหารของหน่อไม้ฝรั่ง

ในหน่อไม้ฝรั่งเต็มไปด้วยคุณค่าครบเครื่องเรื่องโภชนาการ จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นผักมีประโยชน์สุดยอดขั้นเทพ
  • เป็นแหล่งรวมของวิตามินเค วิตามินบี โฟเลต วิตามินซี และวิตามินเอ
  • อุดมไปด้วยวิตามินบี ทั้งบี 1 บี 2 บี 3 และบี 6
  • มีปริมาณโฟลาซินสูง
  • เต็มไปด้วยแร่ธาตุ เช่น สังกะสี ทองแดง ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม และเซเลเนียม
  • มีกากใยสูง
  • มีโปรตีน ประมาณ 3 กรัมต่อน้ำหนัก 5.3 ออนซ์
  • ไม่มีไขมันหรือโคเลสเตอรอล
  • มีปริมาณเกลือต่ำมาก
  • แต่ละต้นมีแคลอรีน้อยกว่า 4 แคลอรี
  • สารกลูตาไธโอน

ประโยชน์ของหน่อไม้ฝรั่งต่อสุขภาพ

  • เป็นอาหารของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่
    หน่อไม้ฝรั่งเป็นหนึ่งในผักไม่กี่ชนิดที่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตชนิดที่ เรียกว่า อินูลิน ซึ่งเป็นสารประเภทฟรุกโตโอลิโกแซคคาไรด์ มีลักษณะเฉพาะคือมีรสชาติที่หวาน คล้ายน้ำตาล แต่จะไม่ถูกย่อยในทางเดินอาหารจึงไม่ให้พลังงานและไม่เพิ่มระดับน้ำตาลอินูลินจะไปช่วยให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้เพิ่มจำนวนมากขึ้น พร้อมๆ กับยับยั้งการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียตัวร้ายที่ทำให้เกิดโรคท้องร่วง
  • มีประสิทธิภาพในการต้านมะเร็ง
    หน่อไม้ฝรั่งเป็นอาหารที่มีกลูต้าไธโอนอยู่มากที่สุด ซึ่งกลูต้าไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย ช่วยให้ตับขจัดสารพิษออกจากร่างกาย และนำมาใช้รักษาโรคมะเร็ง
  • ราก ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับปัสสาวะ รักษานิ่วในกระเพาะปัสสาวะและนิ่วในไต
  • แก้เมาค้าง
    มีการศึกษาระบุว่า กรดอะมิโนและแร่ธาตุในสารสกัดจากหน่อไม้ฝรั่ง สามารถจะช่วยแก้อาการเมาค้างและป้องกันเซลล์ตับจากพิษของแอลกอฮอล์ได้
  • ใช้เป็นยาบำรุงในการแพทย์อายุรเวช
  • อุดมไปด้วยโฟลาซิน ซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยป้องกันภาวะหลอดประสาทของทารกในครรภ์ปิดไม่สนิท (neural tube defects) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดความพิการและเสียชีวิตในเด็ก
  • มีสรรพคุณมากมายในทางยา ซึ่งใช้กันมาตั้งแต่สมัยโรมันโบราณ
  • ช่วยลดน้ำหนัก…เช่นเดียวกับผักส่วนใหญ่ หน่อไม้ฝรั่งมีน้ำตาลน้อยมาก ไม่มีไขมัน มีคาร์โบไฮเดรตตัวดี และมีกากอาหารสูง
หมายเหตุ บางคนจะรู้สึกว่า ปัสสาวะมีกลิ่นฉุนหลังรับประทานหน่อไม้ฝรั่ง ไม่ต้องตกใจไปค่ะ กลิ่นฉุนคล้ายกำมะถันนี้มาจากกระบวนการย่อยกรดอะมิโนบางชนิดของร่างกาย นั่นเอง ซึ่งบางคนอาจไม่รู้สึกเลย

การเลือกซื้อหน่อไม้ฝรั่ง

  • เลือกต้นที่มีความแน่น กรอบ สีเขียวสด ส่วนปลายแห้งและไม่บานออก หน่อไม้น้ำมีทั้งลำต้นอวบใหญ่และลำต้นเล็กๆ ดังนั้น เวลาเลือกควรเลือกขนาดใดขนาดเดียวไปเลย เวลานำไปปรุงอาหารจะได้สุกพร้อมกัน
  • ถ้ามีกลิ่น หรือต้นเหี่ยว ไม่ควรซื้อ
  • หากส่วนโคนที่เป็นเสี้ยนๆ ยาวเกิน 15 เปอร์เซ็นต์ ของความยาวทั้งหมด แสดงว่าแก่เกินไป
  • หน่อไม้ฝรั่งค่อนข้างบอบบาง ช้ำง่าย และแห้งง่าย ซื้อมาแล้วควรทำกินทันทีจะดีที่สุด อย่าเก็บไว้นาน
  • ลองบีบทั้งกำเบาๆ ถ้ามีเสียงดังเอี๊ยด แสดงว่ายังสดอยู่
  • คุณอาจจะคิดว่าต้นผอมๆ จะอ่อนกว่า แต่ส่วนใหญ่แล้ว ต้นที่อวบๆ มักจะหวานกรอบกว่าต้นเล็กๆ
การเก็บรักษา ตัดส่วนโคนออกประมาณ 1 นิ้ว แล้วห่อด้วยกระดาษพรมน้ำให้ชุ่ม ใส่ถุงพลาสติกอีกชั้น จะสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานประมาณ 3 วัน การยืดอายุ หลังจากตัดโคนออกแล้ว เอาไปแช่น้ำโดยจับวางตั้งขึ้น แล้วครอบด้วยถุงพลาสติกเพื่อเก็บความชื้น เคล็ดลับการกินหน่อไม้ฝรั่งอย่างง่ายๆ วิธีที่ดีที่สุดคือ กินสดๆ โดยตัดเป็นท่อนๆ ผสมกับผักสลัด
วิธีง่ายๆ อีกวิธีหนึ่งคือ นำไปนึ่งสัก 2 – 3 นาทีแค่พอสุก กินแกล้มกับน้ำพริก หลน หรือกินกับปลานึ่ง จิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดก็อร่อยไปอีกแบบ เมนูอาหารจากหน่อไม้ฝรั่ง ถ้าเป็นเมนูไทยๆ แค่ผัดน้ำมันหอย หรือผัดกับกุ้ง ก็อร่อยล้ำแล้วละค่ะ แต่ถ้าชอบออกแนวตะวันตกหน่อย ก็สามารถทำได้ทั้งซุป หรือปิ้ง ย่าง กินกับสเต๊ค

Credit: sakulthaionline.com

วันศุกร์, ตุลาคม 04, 2556

เตรียมพร้อมกับเจกันเถอะ

เทศกาล “กินเจ” ต้องเตรียมตัวอย่างไร
สำหรับเทศกาลกินเจ 2556 ที่กำลังจะเข้ามาถึงในเดือนหน้าช่วงประมาณวันที่ 5 -13 ตุลาคม 2556 ข้างหน้านี้ เรามีวิธีปฏิบัติตนและเอาสาระประโยชน์ในเทศกาล “กินเจ นี้มาฝากกันค่ะ
กินเจ

จุดประสงค์ของการกินเจ ในเทศกาลกินเจ
ผู้ที่กินเจอาจจะมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป แต่จุดประสงค์หลักสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
กินเพื่อสุขภาพ อาหารเจเป็นอาหารประเภทชีวจิต เมื่อกินติดต่อกันไปช่วงเวลาหนึ่งจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ ปรับระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหารให้มีเสถียรภาพ
กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากอาหารที่เรากินอยู่ในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้มีจิตเมตตา มีคุณธรรมและมีจิตสำนึกอันดีงามย่อมไม่อาจกินเลือดเนื้อของสัตว์เหล่านั้นซึ่งมีเลือดเนื้อ จิตใจและที่สำคัญมีความรักตัวกลัวตายเช่นเดียวกับคนเรา
กินเพื่อเว้นกรรม ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งย่อมตระหนักว่าการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าเองก็ตาม การซื้อจากผู้อื่นก็เหมือนกับการจ้างฆ่าเพราะถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้าทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลงเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อผู้หยั่งรู้เรื่องกฎแห่งกรรมนี้จึงหยุดกินหยุดฆ่าหันมารับประทานอาหารเจ ซึ่งทำให้ร่างกายเติบโตได้เหมือนกัน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น
ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืน ผู้ที่ต้องการกินเจอย่างครบถ้วยสมบูรณ์ตามประเพณีการกินเจ จะต้องปฏิบัติดังนี้
การปฏิบัติตนในช่วงเทศกาลกินเจ
- รับประทาน “อาหารเจ”
- งดอาหารรสจัด ซึ่งหมายถึงอาหารเผ็ด หวานมาก เปรี้ยวมาก เค็มมาก
- รักษาศีลห้า
- รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์
- ทำบุญทำทาน
- นุ่งขาวห่มขาว
สำหรับผู้ที่เคร่งครัดเพื่อการกินเจให้เป็นไปอย่างบริสุทธิ์โดยแท้ จะเพิ่มการปฏิบัติโดยการกินอาหารเฉพาะที่คนกินเจด้วยกันเป็นผู้ปรุงเท่านั้น รวมถึงจะล้างหม้อไหจนสะอาดเอี่ยมแยกภาชนะสำหรับการปรุงอาหารเจไว้โดยเฉพาะ
นอกจากนี้ยังจุดตะเกียงไว้ 9 ดวงตลอดช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน โดยไม่ปล่อยให้ดับเพื่อเป็นพุทธบูชาและรำลึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ญาติพี่น้องตลอดจนผู้ที่มีบุญคุณต่อผืนแผ่นดินเกิด
หลักธรรมในการกินเจ
ในทัศนะของคนกินเจ การกินที่ทำให้ชีวิตผู้อื่นต้องเดือดร้อนล้มตายนั้น “มันมากเกินไป” ทั้งๆ ที่มนุษย์กินแต่อาหารพืชผักก็สามรถมีชีวิตอยู่ได้
การกินเจตั้งมั่นอยู่บนหลักธรรมสำคัญ 2 ประการคือ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนตนเองและดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น กล่าวคือ
- ไม่เอาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายมาต่อเติมบำรุงเลี้ยงชีวิตของตน
- ไม่เอาเลือดของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเลือดของตน
- ไม่เอาเนื้อของสัตว์ทั้งหลายมาเป็นเนื้อของตน
การรับประทานสิ่งใดก็ตามที่ทำลายสุขภาพร่างกายของตนให้ทรุดโทรม คือ การเบียดเบียนตนเอง ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้าได้พิสูจน์ยืนยันว่าเลือดและเนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตายเต็มไปด้วยพิษภัยมากมาย
ดังนั้นการกินเจจึงไม่ใช่เพื่อให้เกิดผลดีต่อจิตใจเท่านั้นแต่ยังครอบคลุมไปถึงการมีสุขภาพพลานามัยที่ดีอีกด้วย ร่างกายและจิตใจเป็นของคู่กันมีความสัมพันธ์ส่งผลถึงกันคนเราย่อมไม่อาจจะรู้สึกเบิกบานสดชื่นร่าเริงได้ในขณะที่ร่างกายเจ็บป่วยทรุดโทรมย่ำแย่
อาหารเจ
อาหารเจเป็นอาหารที่ปรุงขึ้นโดยไม่มีเนื้อสัตว์ หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ (เช่น นม ไข่ น้ำผึ้ง น้ำปลา เจลาติน คอลลาเจน) และไม่ปรุงด้วยผักฉุนทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หอม (ทุกชนิดอาทิ ต้นหอม หัวหอม หอมแดง) หลักเกียว กุยช่าย และใบยาสูบ เพราะผักเหล่านี้ทำอันตรายต่ออวัยวะในร่างกาย กระเทียมให้โทษต่อหัวใจ หอมให้โทษต่อไต หลักเกียวให้โทษต่อม้าม กุยช่ายให้โทษต่อตับ และใบยาสูบให้โทษต่อปอด บ้างเชื่อว่าผักเหล่านี้เพิ่มความกำหนัดหรือมาจากเลือดของสัตว์ตามตำนานจีน ทำให้อาหารเจไม่มีกลิ่นคาว เนื่องจากการงดเนื้อสัตว์ ทำให้ผู้ที่กินเจหันมาบริโภคธัญพืชในธรรมชาติเพื่อให้ได้มาซึ่งโปรตีน ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง โดยในประเทศจีน พบว่ามีภัตตาคารบางแห่งซึ่งบริการ “ปรุงอาหารตามใบสั่งแพทย์” (กล่าวคือ ผู้ที่เข้ามารับประทานจะต้องได้รับใบสั่งอาหารของแพทย์เสียก่อน) โดยลูกค้าของภัตตาคารดังกล่าวเป็นคนไข้ที่กำลังเข้ารับ “การบำบัดโรคด้วยอาหารตามหลักเวชศาสตร์โบราณ” หลังเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์แล้ว
สีในเทศกาลกินเจ
สีแดง เป็นสีที่ชาวจีนเชื่อว่าเป็นสีศิริมงคล ดังจะเห็นได้ว่าในงานมงคลต่างๆ ของคนจีนไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง วันตรุษจีน
สีเหลือง เป็นสีสำหรับใช้ในราชวงศ์ซึ่งอนุญาตให้ใช้ได้เพียงคนสองกลุ่มเท่านั้น กลุ่มแรกคือกษัตริย์ซึ่งเห็นได้จากหนังจีน เครื่องแต่งกายและภาชนะต่างๆ เป็นสีเหลืองหรือทองซึ่งคนสามัญห้ามใช้เด็ดขาด กลุ่มที่สองคืออาจารย์ปราบผีถ้าท่านสังเกตในหนังผีจีนจะเห็นว่าเขาแต่งกายและมียันต์สีเหลือง
สีขาว ตามธรรมเนียมจีนสีขาวคือสีสำหรับการไว้ทุกข์ สีดำที่เราเห็นกันอยู่ในขณะนี้เป็นการรับวัฒนธรรมตะวันตก ถ้าท่านสังเกตในพิธีงานศพของจีนจะเห็นลูกหลานแต่งชุดสีขาวอยู่